เรื่องราวต่อไปนี้เกิดขึ้นก่อนที่ Covid-19 หรือ 新型コロナウイルス จะแพร่ระบาดในญี่ปุ่น
หลังจากที่เล่าเรื่องประสบการณ์การฝากครรภ์ที่ญี่ปุ่นมาแล้ว รอบนี้ก็ถึงเวลาแชร์ประสบการณ์คลอดลูกแบบธรรมชาติที่ญี่ปุ่นกันค่ะ (経膣分娩 けいちつぶんべん)โรงพยาบาลที่เราฝากครรภ์เป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่ไม่ไกลจากบ้านที่อยู่ในเมือง Utsunomiya นัก ทราบรายละเอียดแพ็คเกจการคลอดที่โรงพยาบาลคร่าวๆประมาณนี้
- คลอดธรรมชาติค่าใช้จ่ายประมาณ 550,000-650,000 เยน
- รายละเอียดเบื้องต้นเกี่ยวกับการคลอดและการพักฟื้น
- ถ้าคลอดท้องแรกต้องพักที่โรงพยาบาลหลังคลอด 5 วัน
- ถ้าเคยคลอดมาก่อนแล้วนอนโรงพยาบาลหลังคลอด 4 วัน
- ถ้าผ่าคลอดต้องนอนโรงพยาบาลทั้งหมด 6 วัน (เข้าโรงพยาบาลก่อนผ่า 1 วัน, ผ่าคลอด 1 วัน, พักฟื้นหลังคลอด 6 วัน
- ราคาแพ็คเกจเป็นราคาสำหรับห้องพักรวม 4 คน หากต้องการพักห้องเดี่ยว (個室)จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกวันละ 10,000 เยน หรือหากต้องการใช้ห้อง LDR (Labor-Deliver-Recover) จ่ายเพิ่มอีกคืนละ 12,000 เยน (ราคาทั้งหมดยังไม่รวมภาษี)
สำหรับรายละเอียดการเข้าค่าย เอ้ย พักฟื้นหลังคลอดนั้น จะทยอยเล่าให้ฟังตามสเต็ป
ก่อนอื่นเรามาแชร์ประสบการณ์ที่เจ็บปวดรวดร้าวที่สุดในชีวิตลูกผู้หญิงกันดีกว่า (ใครที่ตั้งใจจะคลอดธรรมชาติและไม่อยากเพิ่มความกลัวหรือความกังวลแนะนำว่าอย่าอ่านเลยค่า ไปเจอเองเลยทีเดียวดีกว่า เพราะแต่ละคนจะเจอไม่เหมือนกัน ร่างกายและธรรมชาติของผู้หญิงทุกคนต่างกัน บางทีอาจจะไม่ได้สาหัสแบบเราก็ได้นะ 😀 )
มาเริ่มกันเลยดีกว่า
ณ เช้ามืดวันที่ 22 มกราคม 2563 ประมาณ ตีสองกว่าๆ เวลาท้องถิ่น (หลังจากที่รู้สึกว่าท้องแข็งต่อเนื่องมาตั้งแต่สี่ทุ่มกว่าๆ แต่ยังไม่ได้รู้สึกทรมานอะไร ก็นอนสังเกตตัวเองครึ่งหลับครึ่งตื่นมาเรื่อยๆ) ก็ลุกไปเข้าห้องน้ำหลังจากที่เริ่มรู้สึกเจ็บท้องน้อยมากขึ้นเรื่อยๆ เลยคิดว่าขยับตัวลุกไปเข้าห้องน้ำน่าจะหาย (บอกตัวเองว่าเจ็บหลอกอะแหละ ยังไม่ใช่หรอก) แต่ก็สังเกตเห็นว่ามีเลือดออกมานิดหน่อยละ แล้วพอกลับมานอนซักพักก็เริ่มปวดท้องมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆ 7-10 นาที เลยตัดสินใจบอกแฟนว่าสงสัยว่าวันนี้เราคงต้องไปโรงพยาบาลกันแล้วหละ จนประมาณตีสามก็เลยให้แฟนโทรไปบอกโรงพยาบาลแล้วก็ไปให้โรงพยาบาลตรวจท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บกับชุดนอนบางๆที่ใส่เสื้อขนเป็ดทับไว้ พยุงตัวเองไปจนถึงโรงพยาบาลโดยสวัสดิภาพ พอขึ้นไปถึง ナースセンター Nurse Center พยาบาลหรือแพทย์ผดุงครรภ์ก็เริ่มตรวจภายในแล้วบอกว่าช่องคลอดเปิดประมาณ 2 เซ็นเอง ตอนแรกคงมองว่าจะให้กลับบ้านไปก่อน แต่พอ Monitor แบบ NST (แบบที่ไม่ต้องกดว่าลูกดิ้นรึเปล่า) แล้วเห็นกราฟการบีบตัวของมดลูกต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่เลยตัดสินใจให้ admit เลย และเฝ้าดูอาการมาเรื่อยๆ
จน 8 โมงครึ่ง แพทย์ที่ดูแลการฝากครรภ์ก็ขึ้นมาดูอาการ (คือจริงๆเพิ่งเจอกันไปเมื่อวันที่ 21 หมอเลยถามว่าเจ็บท้องแล้วเหรอ 555) แล้วก็ตรวจภายในอีกบอกว่ามดลูกเปิด 3 เซ็นแล้ว แต่พอใกล้ๆ 10 โมง ความรุนแรงของการเจ็บท้องก็ลดลงจนแทบจะไม่เห็นอาการท้องแข็งเลย พยาบาลก็เลยบอกว่าให้ลุกไปขยับตัว เดินเยอะๆ แฟนก็จับให้ squat (แต่เหมือนนางจะ squat เองซะมากกว่า 555) แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับไปเจ็บแบบเดิม เจอหน้าหมอก็เลยบอกหมอว่าตัดสินใจให้ใช้ยาเร่งกระตุ้นให้กลับไปเริ่มต้นกระบวนการคลอดให้เกิดขึ้น อยากคลอดวันนี้แล้ว ไม่อยากเริ่มต้นรอลุ้นใหม่อีกที ซึ่งก่อนจะเริ่มต้นกระบวนการให้ยาก็นับว่าโชคดีที่ได้กินอาหารเที่ยงก่อนจะเริ่มต้นความเจ็บปวดของจริง แม้ว่าหมอจะบอกว่าผลของยาที่จะมีกับแต่ละคนต่างกัน อาจจะได้ผลหรือไม่ได้ผลก็ได้หลังจากทานข้าวเที่ยงเสร็จไม่นาน ยาก็มา
เริ่มให้ยาประมาณ 13:00 น. ตอนแรกๆก็ยังไม่รู้สึกอะไร จนประมาณ 14:30 น. ความเจ็บปวดก็ค่อยๆมากเรื่อยๆ ปากมดลูกเปิดเพิ่มเป็น 3 เซ็น แล้วหลังจากนั้นความเจ็บปวดก็เพิ่มระดับขึ้นเรื่อยๆ (อย่าถามว่ารู้เวลาไหม) รู้แต่ว่าช่วงที่ความเจ็บเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สามีบอกว่าพ่อแม่ที่นั่งเครื่องบินมา เครื่องลงถึงสนามบินที่ญี่ปุ่นเรียบร้อยแล้วนะ ก็คาดว่าตอนนั้นน่าจะประมาณเกือบๆ 16:00 น.
แล้วความเจ็บปวดก็ทวีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เจ็บแบบเริ่มหงุดหงิดกับทุกอย่างที่ขวางหน้า เริ่มควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้ เจ็บแบบถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็จะได้ยินพยาบาลที่เดี๋ยวๆก็แวะเข้ามาตรวจภายใน มาคอยบอกว่าปากมดลูกเปิดกี่เซ็นแล้ว แล้วก็บอกว่าลูกในท้องแข็งแรงมากนะคะ อยู่เป็นระยะ ครั้งสุดท้ายที่จำได้เรื่องตรวจภายในแล้วพูดเป็นเซ็นติเมตรคือ ตอน 8 เซ็น ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิด หมอที่เป็นคนดูแลครรภ์เข้ามาแล้วพูดว่า ยาออกฤทธิ์ได้ดี ทุกอย่างราบรื่น (順調する)น่าจะคลอดได้ประมาณ 2 ทุ่ม ซึ่งตอนนั้นก็ไม่รู้ว่ากี่โมงแล้วอะนะ
จำได้ว่าช่วงท้ายคือปวดมากจนบอกให้สามีไปขอให้เค้าฉีดยาบล๊อกหลังให้ แบบโวยวายสุดๆ เพราะแบบทรมานมากปางตายจริงๆ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้โดนทางโรงพยาบาลปฏิเสธบอกว่าไม่ฉีดให้ เดี๋ยวจะเป็นอันตราย พอรู้สึกหมดหวังกับความเจ็บปวด ช่วงที่ยังพอมีสติก็พยายามสวดมนต์ให้ตัวเองทนผ่านความเจ็บปวดอันรุนแรงนี้ไปให้ได้ แต่มันก็เกินที่สติจะอยู่กับตัวเองได้ตลอดจริงๆ เจ็บต่อเนื่องแบบทิ้งตัว ปล่อยให้ความเจ็บครอบงำไปเลย ทุรนทุรายบ้าง ทิ้งตัวนิ่งบ้าง พยายามเบ่งบ้าง เจ็บจนจำได้ว่าถามสามีว่าทำยังไงเค้าถึงจะให้ย้ายไปห้องคลอดได้ เพราะตลอดเวลาที่เจ็บท้องจะต้องอยู่ในห้องเจ็บท้องก่อน ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับห้องคลอด (จำได้ว่าสามีพยายามหาเรื่องมาชวนคุย พยายามพูดถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ เดินไปถ่ายรูปห้องคลอดมาให้ดูนั่นนี่ แต่เราไม่อยากรับรู้อะไรแล้ว เพราะกำลังทรมานอยู่) แล้วสามีบอกว่าเค้าให้เบ่งตรงนี้ให้สุดก่อน ให้พอเห็นหัวลูกแล้วจะให้เข้าไป ก็ทำให้รู้ว่าเราต้องพยายามเบ่งละ เวลาพยายามเบ่งก็จะรู้สึกเหมือนเบ่งแล้วขี้จะออกมาด้วย (คงเป็นเพราะช่องคลอดกับทวารหนักอยู่ใกล้กันมาก แล้วคงจะกดๆทับๆกันแหละมั๊ง) แล้วพยาบาลก็บอกให้สามีเอาลูกกลมๆขนาดประมาณลูกเทนนิสมาอุดทวารหนักเราไว้และพยายามเชียร์ให้เราเบ่งออกมาเรื่อยๆ
จนช่วงที่หมอผดุงครรภ์เข้ามาตรวจภายในอีก แล้วก็จับเราเปลี่ยนกางเกงในเป็นกางเกงที่สวมก่อนคลอด เพื่อรอให้ถุงน้ำคร่ำแตกเอาไว้ ซักพักเราก็ได้ยินเสียงถุงน้ำคล่ำแตกแล้วน้ำคล่ำก็ไหลออกมาก รีบพูดไปเลยกว่า 破水 เค้าก็มาดูแล้วก็บอกว่าน้ำคล่ำแตกแล้วจริงๆ ให้เบ่งต่อไปอีก
จนในที่สุดหลังจากน้ำคร่ำแตกไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ก็มาตรวจภายในอีกที ถูกจับสวนปัสสาวะออก เพราะไม่ได้เข้าห้องน้ำตั้งแต่บ่ายโมง (คือหลังจากได้รับยาก็เจ็บจนไม่รู้สึกปวดปัสสาวะอีกเลย) แล้วบอกว่าย้ายไปห้องคลอดได้ ให้เราลุกขึ้นแล้วเดินไปห้องคลอด ช่วยคิดสภาพคนที่เจ็บปวดทรมานทุรนทุรายปางตายมาหลายชั่วโมง ถูกบอกว่าให้ลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปห้องคลอดดูสิ… ใช่ค่ะ นี่ก็งอแงมาตลอด ตั้งแต่ปวดร้าวไปทั้งท้องน้อย เชิงกราน หลังล่างและก้น แล้วเวลามาตรวจภายในก็จะต้องบอกให้ยกก้นขึ้นทุกครั้ง ให้เปลี่ยนนั่นนี่ คือก็ทรมานมาโดยตลอด งอแงมาก กว่าจะยอมหายใจเข้าลึกๆแล้วขยับร่างตัวเองลงจากเตียงแล้วไปขึ้นเตียงในห้องคลอดได้นั้น บอกตามตรงว่ามันไม่ง่ายเลย แล้วพอย้ายเตียงก็ต้องขยับตัวเองให้พอดีที่ ให้สูงพอดีอีก บลาๆ แล้ว
สุดท้ายก็ถึงเวลาเบ่ง คือด้วยความที่เราทรมานกับความเจ็บปวดจนทิ้งตัวลงให้จมไปกับเตียงที่สุดแล้ว ทำให้เรารู้แต่ว่าเราต้องเบ่ง แต่เราบอกเลยว่าเราไม่รู้เลยว่าตอนนั้นมดลูกเราบีบตัวหรือไม่บีบตัว เราไม่รู้สัญญาณตัวเองเลย เรารู้อีกทีคือทุกคนบอกให้เราหยุด ให้เราพักก่อน 休み แล้วก็ค่อยบอกให้เบ่งใหม่ เราก็พยายามเบ่ง ซึ่งก็เบ่งเกินช่วงมดลูกบีบตัวอยู่ดี จำไม่ได้ว่าเป็นแบบนี้นานแค่ไหน หรือกี่รอบ เบ่งจนไม่รู้ว่าหัวลูกอยู่ตรงไหนแล้ว จะออกมารึยัง รู้ว่าเหมือนพอใกล้ๆจะออกมา มีหมอศัลยกรรมผู้ชายเข้ามาคนนึง รอเตรียมจะฉีดยาชา ตัดปากช่องคลอดให้ลูกออกมาได้ เหมือนพอโดนฉีดยาชาซักพัก เบ่งอีกครั้งนึงยาวๆก็เห็นหมอผดุงครรภ์อุ้มตัวเล็กขึ้นมา เห็นหน้าลูกแว้บบบบบบบบนึง แล้วเค้าก็อุ้มไปดูดน้ำออกจากปอด ทำความสะอาดตัวลูก (อันนี้คือคุณพ่อมือใหม่เดินตามลูกไปเลย)
หลังจากลูกออกไปแล้วความทรมานก็เหมือนแทบจะหายไปทั้งหมด ยังเหลือความรู้สึกอยากเบ่งอีกนิดหน่อยคือต้องเบ่งรกออกมา แล้วพอเบ่งรกออกมาได้ก็เหมือนกลับมาเป็นคน กลับมามีสติอีกครั้ง พูดจารู้เรื่อง ตอนได้ยินเสียงลูกร้อง แม่ก็อยากจะร้องไห้ให้กับความเจ็บปวดที่ผ่านมาของตัวเองเหมือนกัน แต่น้ำตาไม่ไหลอะนะ 555
หลังจากสิ้นสุดกระบวนการคลอดแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็ถูกยกขาขึ้นขาหยั่งไว้ ให้ศัลยแพทย์คนนั้นมาเย็บแผลให้ ได้ยาชาเพิ่มแล้วหมอก็เริ่มเย็บเห็นด้ายสีแดงๆพร้อมเสียงฟืดๆยังกับสอยผ้าหยาบๆหนาๆ นั่นคือเย็บช่องคลอดเราอยู่ (ฮือออออ ใจก็คิดว่ามีไหมละลายที่ใช้ภายนอกได้ไหม ไม่อยากจะตัดไหมเลย แงงงงง)
พอหมอเย็บเสร็จก็จากไป แล้วพยาบาลก็เข้ามาบอกว่าตอนนี้เวลาประมาณ 2 ทุ่มนะคะ ให้นอนอยู่ตรงนี้ถึง 4 ทุ่มถึงจะย้ายไปห้องพักค่ะ ระหว่างที่นอนอยู่ตรงนี้ก็จะมีพยาบาลมาดูเป็นระยะๆ มาคอยกดน้ำคาวปลาให้ออกมาจากท้อง แล้วก็มาให้เราเปลี่ยนชุดจากชุดคลอดเป็นชุดนอนเปิดหน้าที่ต้องเตรียมมาจากบ้านเอง (ที่โรงพยาบาลไม่มีชุดคนไข้ให้ค่ะ) รวมทั้งกางเกงในแบบเปิดหน้าที่ก็ต้องเตรียมมาเองเช่นกัน
พอ 4 ทุ่มกว่าๆ พยาบาลมาเช็คความเรียบร้อยและความสมบูรณ์ของคนไข้แล้วค่อยให้เราลุกจากเตียงคลอดกลับไปห้องพัก ซึ่งบอกสามีว่าขอห้องเดี่ยวนะ อยากพักผ่อนสบายๆหน่อย และเผื่อว่าสามีจะมาอยู่เป็นเพื่อนได้ แต่พอหลังจากสามีทำเรื่องเอกสารต่างๆกับทางโรงพยาบาลครบ ประมาณ 5 ทุ่ม พยาบาลก็เข้ามาคุยเรื่องเอกสารและมาบอกว่าที่นี่ห้ามสามีค้างนะคะ ต้องกลับบ้านและเวลาเยี่ยมคือ 14:00-20:00 น. เท่านั้น คืนนั้นสามีก็เลยต้องกลับบ้านไป และเราก็ต้องนอนโรงพยาบาลคนเดียวตั้งแต่หลังคลอดเสร็จ
หลังจากคลอดเสร็จแล้วก็ได้แฟ้มใสมา 1 แฟ้มพร้อมได้รับแจ้งว่าจะต้องบันทึกว่าคุณแม่ปัสสาวะและอุจจาระตอนไหนบ้างในแต่ละวัน พอครบวันก็ให้สรุปจำนวนครั้งไว้ด้านท้ายของตาราง โดยที่หลังคลอด คุณแม่จะต้องปัสสาวะใส่กระบอกที่โรงพยาบาลเตรียมไว้ นี่ก็พยายามเข้าห้องน้ำไป 2 ครั้ง แต่สุดท้ายพยาบาลบอกว่าขอสแกนหน่อยว่าในกระเพาะปัสสาวะมีน้ำค้างอยู่เท่าไหร่ แล้วตรวจเจอว่ามีน้ำค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะถึง 755ml (ทั้งๆที่ปัสสาวะออกไปแล้ว 2 ครั้ง) ก็เลยต้องยอมให้พยาบาลสวนปัสสาวะออก พยาบาลอธิบายว่าคนเพิ่งคลอดส่วนใหญ่มักจะมีปัญหาเรื่องปัสสาวะไม่ออก ปัสสาวะขัด ลืมปวดปัสสาวะ… ซึ่งก็คงจะจริง เลยได้รับคำสั่งให้กินน้ำเข้าไปเยอะๆ แล้วพยายามเข้าห้องน้ำทุก 3-4 ชั่วโมง (คือมีพยาบาลมาปลุกเรียกให้ไปเข้าห้องน้ำจริงๆนะ 555) จนรอบตีสามก็สถานการณ์ดีขึ้น พอเช้าพยาบาลเลยบอกว่าสามารถปัสสาวะเองแล้วจดบันทึกส่งอย่างเดียวได้ เค้าจะไม่มาเฝ้าและตรวจปริมาณปัสสาวะแล้ว พร้อมกับอธิบายเกี่ยวกับแผ่นอนามัยซับเลือดที่ยังซึมออกมาทางช่องคลอด (ที่อาจจะยังซึมไปอีกประมาณ 1 เดือน)
ทั้งนี้ตลอดเวลาเกือบ 18 ชั่วโมง ต้องขอบคุณสามี ทีพยายามอยู่ข้างๆตลอด แม้ว่าช่วงท้ายๆจะเจ็บท้องจนผีเข้า สติแตก โวยวาย งอแง งี่เง่า แต่ก็เข้าใจเราและไม่ทิ้งเราไปไหน จนทุกอย่างเรียบร้อยไปด้วยดี ❤️สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับกิจกรรมตลอดการพักฟื้นตลอด 5 วันที่โรงพยาบาลจะตามมาอีกทีค่า
เสริมเพิ่มหน่อยว่า ตอนหลังคลอดออกมาตอนที่พยาบาลพาไปทำความสะอาดตัว แล้วคุณพ่อเดินตามไปคือ พยาบาลจะเริ่มจากดูดน้ำออกจากปอดลูก ชั่งน้ำหนัก วัดความยาวตัว รอบหัว รอบอก ทำความสะอาดตัวและให้คุณพ่อเขียนชื่อด้วยปากกาเมจิกที่เท้าของลูกไว้ด้วยนะคะ
สวัสดีค่ะ อยู่ญี่ปุ่น เหมือนกัน
อยากได้ข้อมูล เกี่ยวกับตาราง ที่โรงพยาบาลจัดให้ชัดๆจังเลยค่ะ พอดีเราไม่เก่งภาษาญี่ปุ่น ด้านการแพทย์เลย สื่อสาร แบบทั่วไปได้ แต่ศัพท์ หมอ งงเป็นไก่คาแตก
รบกวนช่วย @ line id: lindasia_za มาทีได้มั้ยคะ อยากได้รูป และอยาก สอบถาม เพิ่มเติมเกี่ยวกับการคลอดลูกมากๆๆเลยค่ะ