ประสบการณ์การคลอดลูกที่ญี่ปุ่น (PART 1)

Lifestyle1 ความเห็น บน ประสบการณ์การคลอดลูกที่ญี่ปุ่น (PART 1)

ประสบการณ์การคลอดลูกที่ญี่ปุ่น (PART 1)

เรื่องราวต่อไปนี้เกิดขึ้นก่อนที่ Covid-19 หรือ 新型コロナウイルス จะแพร่ระบาดในญี่ปุ่น

หลังจากที่เล่าเรื่องประสบการณ์การฝากครรภ์ที่ญี่ปุ่นมาแล้ว รอบนี้ก็ถึงเวลาแชร์ประสบการณ์คลอดลูกแบบธรรมชาติที่ญี่ปุ่นกันค่ะ (経膣分娩 けいちつぶんべん)โรงพยาบาลที่เราฝากครรภ์เป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่ไม่ไกลจากบ้านที่อยู่ในเมือง Utsunomiya นัก ทราบรายละเอียดแพ็คเกจการคลอดที่โรงพยาบาลคร่าวๆประมาณนี้

  1. คลอดธรรมชาติค่าใช้จ่ายประมาณ 550,000-650,000 เยน
  2. รายละเอียดเบื้องต้นเกี่ยวกับการคลอดและการพักฟื้น
    1. ถ้าคลอดท้องแรกต้องพักที่โรงพยาบาลหลังคลอด 5 วัน
    2. ถ้าเคยคลอดมาก่อนแล้วนอนโรงพยาบาลหลังคลอด 4 วัน
    3. ถ้าผ่าคลอดต้องนอนโรงพยาบาลทั้งหมด 6 วัน (เข้าโรงพยาบาลก่อนผ่า 1 วัน, ผ่าคลอด 1 วัน, พักฟื้นหลังคลอด 6 วัน
  3. ราคาแพ็คเกจเป็นราคาสำหรับห้องพักรวม 4 คน หากต้องการพักห้องเดี่ยว (個室)จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกวันละ 10,000 เยน หรือหากต้องการใช้ห้อง LDR (Labor-Deliver-Recover) จ่ายเพิ่มอีกคืนละ 12,000 เยน (ราคาทั้งหมดยังไม่รวมภาษี)

สำหรับรายละเอียดการเข้าค่าย เอ้ย พักฟื้นหลังคลอดนั้น จะทยอยเล่าให้ฟังตามสเต็ป

ก่อนอื่นเรามาแชร์ประสบการณ์ที่เจ็บปวดรวดร้าวที่สุดในชีวิตลูกผู้หญิงกันดีกว่า (ใครที่ตั้งใจจะคลอดธรรมชาติและไม่อยากเพิ่มความกลัวหรือความกังวลแนะนำว่าอย่าอ่านเลยค่า ไปเจอเองเลยทีเดียวดีกว่า เพราะแต่ละคนจะเจอไม่เหมือนกัน ร่างกายและธรรมชาติของผู้หญิงทุกคนต่างกัน บางทีอาจจะไม่ได้สาหัสแบบเราก็ได้นะ 😀 )

มาเริ่มกันเลยดีกว่า

ณ เช้ามืดวันที่ 22 มกราคม 2563 ประมาณ ตีสองกว่าๆ เวลาท้องถิ่น (หลังจากที่รู้สึกว่าท้องแข็งต่อเนื่องมาตั้งแต่สี่ทุ่มกว่าๆ แต่ยังไม่ได้รู้สึกทรมานอะไร ก็นอนสังเกตตัวเองครึ่งหลับครึ่งตื่นมาเรื่อยๆ) ก็ลุกไปเข้าห้องน้ำหลังจากที่เริ่มรู้สึกเจ็บท้องน้อยมากขึ้นเรื่อยๆ เลยคิดว่าขยับตัวลุกไปเข้าห้องน้ำน่าจะหาย (บอกตัวเองว่าเจ็บหลอกอะแหละ ยังไม่ใช่หรอก) แต่ก็สังเกตเห็นว่ามีเลือดออกมานิดหน่อยละ แล้วพอกลับมานอนซักพักก็เริ่มปวดท้องมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆ 7-10 นาที เลยตัดสินใจบอกแฟนว่าสงสัยว่าวันนี้เราคงต้องไปโรงพยาบาลกันแล้วหละ จนประมาณตีสามก็เลยให้แฟนโทรไปบอกโรงพยาบาลแล้วก็ไปให้โรงพยาบาลตรวจท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บกับชุดนอนบางๆที่ใส่เสื้อขนเป็ดทับไว้ พยุงตัวเองไปจนถึงโรงพยาบาลโดยสวัสดิภาพ พอขึ้นไปถึง ナースセンター Nurse Center พยาบาลหรือแพทย์ผดุงครรภ์ก็เริ่มตรวจภายในแล้วบอกว่าช่องคลอดเปิดประมาณ 2 เซ็นเอง ตอนแรกคงมองว่าจะให้กลับบ้านไปก่อน แต่พอ Monitor แบบ NST (แบบที่ไม่ต้องกดว่าลูกดิ้นรึเปล่า) แล้วเห็นกราฟการบีบตัวของมดลูกต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่เลยตัดสินใจให้ admit เลย และเฝ้าดูอาการมาเรื่อยๆ

จน 8 โมงครึ่ง แพทย์ที่ดูแลการฝากครรภ์ก็ขึ้นมาดูอาการ (คือจริงๆเพิ่งเจอกันไปเมื่อวันที่ 21 หมอเลยถามว่าเจ็บท้องแล้วเหรอ 555) แล้วก็ตรวจภายในอีกบอกว่ามดลูกเปิด 3 เซ็นแล้ว แต่พอใกล้ๆ 10 โมง ความรุนแรงของการเจ็บท้องก็ลดลงจนแทบจะไม่เห็นอาการท้องแข็งเลย พยาบาลก็เลยบอกว่าให้ลุกไปขยับตัว เดินเยอะๆ แฟนก็จับให้ squat (แต่เหมือนนางจะ squat เองซะมากกว่า 555) แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับไปเจ็บแบบเดิม เจอหน้าหมอก็เลยบอกหมอว่าตัดสินใจให้ใช้ยาเร่งกระตุ้นให้กลับไปเริ่มต้นกระบวนการคลอดให้เกิดขึ้น อยากคลอดวันนี้แล้ว ไม่อยากเริ่มต้นรอลุ้นใหม่อีกที ซึ่งก่อนจะเริ่มต้นกระบวนการให้ยาก็นับว่าโชคดีที่ได้กินอาหารเที่ยงก่อนจะเริ่มต้นความเจ็บปวดของจริง แม้ว่าหมอจะบอกว่าผลของยาที่จะมีกับแต่ละคนต่างกัน อาจจะได้ผลหรือไม่ได้ผลก็ได้หลังจากทานข้าวเที่ยงเสร็จไม่นาน ยาก็มา

เริ่มให้ยาประมาณ 13:00 น. ตอนแรกๆก็ยังไม่รู้สึกอะไร จนประมาณ 14:30 น. ความเจ็บปวดก็ค่อยๆมากเรื่อยๆ ปากมดลูกเปิดเพิ่มเป็น 3 เซ็น แล้วหลังจากนั้นความเจ็บปวดก็เพิ่มระดับขึ้นเรื่อยๆ (อย่าถามว่ารู้เวลาไหม) รู้แต่ว่าช่วงที่ความเจ็บเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สามีบอกว่าพ่อแม่ที่นั่งเครื่องบินมา เครื่องลงถึงสนามบินที่ญี่ปุ่นเรียบร้อยแล้วนะ ก็คาดว่าตอนนั้นน่าจะประมาณเกือบๆ 16:00 น.

แล้วความเจ็บปวดก็ทวีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เจ็บแบบเริ่มหงุดหงิดกับทุกอย่างที่ขวางหน้า เริ่มควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้ เจ็บแบบถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็จะได้ยินพยาบาลที่เดี๋ยวๆก็แวะเข้ามาตรวจภายใน มาคอยบอกว่าปากมดลูกเปิดกี่เซ็นแล้ว แล้วก็บอกว่าลูกในท้องแข็งแรงมากนะคะ อยู่เป็นระยะ ครั้งสุดท้ายที่จำได้เรื่องตรวจภายในแล้วพูดเป็นเซ็นติเมตรคือ ตอน 8 เซ็น ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิด หมอที่เป็นคนดูแลครรภ์เข้ามาแล้วพูดว่า ยาออกฤทธิ์ได้ดี ทุกอย่างราบรื่น (順調する)น่าจะคลอดได้ประมาณ 2 ทุ่ม ซึ่งตอนนั้นก็ไม่รู้ว่ากี่โมงแล้วอะนะ

จำได้ว่าช่วงท้ายคือปวดมากจนบอกให้สามีไปขอให้เค้าฉีดยาบล๊อกหลังให้ แบบโวยวายสุดๆ เพราะแบบทรมานมากปางตายจริงๆ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้โดนทางโรงพยาบาลปฏิเสธบอกว่าไม่ฉีดให้ เดี๋ยวจะเป็นอันตราย พอรู้สึกหมดหวังกับความเจ็บปวด ช่วงที่ยังพอมีสติก็พยายามสวดมนต์ให้ตัวเองทนผ่านความเจ็บปวดอันรุนแรงนี้ไปให้ได้ แต่มันก็เกินที่สติจะอยู่กับตัวเองได้ตลอดจริงๆ เจ็บต่อเนื่องแบบทิ้งตัว ปล่อยให้ความเจ็บครอบงำไปเลย ทุรนทุรายบ้าง ทิ้งตัวนิ่งบ้าง พยายามเบ่งบ้าง เจ็บจนจำได้ว่าถามสามีว่าทำยังไงเค้าถึงจะให้ย้ายไปห้องคลอดได้ เพราะตลอดเวลาที่เจ็บท้องจะต้องอยู่ในห้องเจ็บท้องก่อน ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับห้องคลอด (จำได้ว่าสามีพยายามหาเรื่องมาชวนคุย พยายามพูดถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ เดินไปถ่ายรูปห้องคลอดมาให้ดูนั่นนี่ แต่เราไม่อยากรับรู้อะไรแล้ว เพราะกำลังทรมานอยู่) แล้วสามีบอกว่าเค้าให้เบ่งตรงนี้ให้สุดก่อน ให้พอเห็นหัวลูกแล้วจะให้เข้าไป ก็ทำให้รู้ว่าเราต้องพยายามเบ่งละ เวลาพยายามเบ่งก็จะรู้สึกเหมือนเบ่งแล้วขี้จะออกมาด้วย (คงเป็นเพราะช่องคลอดกับทวารหนักอยู่ใกล้กันมาก แล้วคงจะกดๆทับๆกันแหละมั๊ง) แล้วพยาบาลก็บอกให้สามีเอาลูกกลมๆขนาดประมาณลูกเทนนิสมาอุดทวารหนักเราไว้และพยายามเชียร์ให้เราเบ่งออกมาเรื่อยๆ

จนช่วงที่หมอผดุงครรภ์เข้ามาตรวจภายในอีก แล้วก็จับเราเปลี่ยนกางเกงในเป็นกางเกงที่สวมก่อนคลอด เพื่อรอให้ถุงน้ำคร่ำแตกเอาไว้ ซักพักเราก็ได้ยินเสียงถุงน้ำคล่ำแตกแล้วน้ำคล่ำก็ไหลออกมาก รีบพูดไปเลยกว่า 破水 เค้าก็มาดูแล้วก็บอกว่าน้ำคล่ำแตกแล้วจริงๆ ให้เบ่งต่อไปอีก

จนในที่สุดหลังจากน้ำคร่ำแตกไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ก็มาตรวจภายในอีกที ถูกจับสวนปัสสาวะออก เพราะไม่ได้เข้าห้องน้ำตั้งแต่บ่ายโมง (คือหลังจากได้รับยาก็เจ็บจนไม่รู้สึกปวดปัสสาวะอีกเลย) แล้วบอกว่าย้ายไปห้องคลอดได้ ให้เราลุกขึ้นแล้วเดินไปห้องคลอด ช่วยคิดสภาพคนที่เจ็บปวดทรมานทุรนทุรายปางตายมาหลายชั่วโมง ถูกบอกว่าให้ลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปห้องคลอดดูสิ… ใช่ค่ะ นี่ก็งอแงมาตลอด ตั้งแต่ปวดร้าวไปทั้งท้องน้อย เชิงกราน หลังล่างและก้น แล้วเวลามาตรวจภายในก็จะต้องบอกให้ยกก้นขึ้นทุกครั้ง ให้เปลี่ยนนั่นนี่ คือก็ทรมานมาโดยตลอด งอแงมาก กว่าจะยอมหายใจเข้าลึกๆแล้วขยับร่างตัวเองลงจากเตียงแล้วไปขึ้นเตียงในห้องคลอดได้นั้น บอกตามตรงว่ามันไม่ง่ายเลย แล้วพอย้ายเตียงก็ต้องขยับตัวเองให้พอดีที่ ให้สูงพอดีอีก บลาๆ แล้ว

สุดท้ายก็ถึงเวลาเบ่ง คือด้วยความที่เราทรมานกับความเจ็บปวดจนทิ้งตัวลงให้จมไปกับเตียงที่สุดแล้ว ทำให้เรารู้แต่ว่าเราต้องเบ่ง แต่เราบอกเลยว่าเราไม่รู้เลยว่าตอนนั้นมดลูกเราบีบตัวหรือไม่บีบตัว เราไม่รู้สัญญาณตัวเองเลย เรารู้อีกทีคือทุกคนบอกให้เราหยุด ให้เราพักก่อน 休み แล้วก็ค่อยบอกให้เบ่งใหม่ เราก็พยายามเบ่ง ซึ่งก็เบ่งเกินช่วงมดลูกบีบตัวอยู่ดี จำไม่ได้ว่าเป็นแบบนี้นานแค่ไหน หรือกี่รอบ เบ่งจนไม่รู้ว่าหัวลูกอยู่ตรงไหนแล้ว จะออกมารึยัง รู้ว่าเหมือนพอใกล้ๆจะออกมา มีหมอศัลยกรรมผู้ชายเข้ามาคนนึง รอเตรียมจะฉีดยาชา ตัดปากช่องคลอดให้ลูกออกมาได้ เหมือนพอโดนฉีดยาชาซักพัก เบ่งอีกครั้งนึงยาวๆก็เห็นหมอผดุงครรภ์อุ้มตัวเล็กขึ้นมา เห็นหน้าลูกแว้บบบบบบบบนึง แล้วเค้าก็อุ้มไปดูดน้ำออกจากปอด ทำความสะอาดตัวลูก (อันนี้คือคุณพ่อมือใหม่เดินตามลูกไปเลย)

หลังจากลูกออกไปแล้วความทรมานก็เหมือนแทบจะหายไปทั้งหมด ยังเหลือความรู้สึกอยากเบ่งอีกนิดหน่อยคือต้องเบ่งรกออกมา แล้วพอเบ่งรกออกมาได้ก็เหมือนกลับมาเป็นคน กลับมามีสติอีกครั้ง พูดจารู้เรื่อง ตอนได้ยินเสียงลูกร้อง แม่ก็อยากจะร้องไห้ให้กับความเจ็บปวดที่ผ่านมาของตัวเองเหมือนกัน แต่น้ำตาไม่ไหลอะนะ 555

หลังจากสิ้นสุดกระบวนการคลอดแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็ถูกยกขาขึ้นขาหยั่งไว้ ให้ศัลยแพทย์คนนั้นมาเย็บแผลให้ ได้ยาชาเพิ่มแล้วหมอก็เริ่มเย็บเห็นด้ายสีแดงๆพร้อมเสียงฟืดๆยังกับสอยผ้าหยาบๆหนาๆ นั่นคือเย็บช่องคลอดเราอยู่ (ฮือออออ ใจก็คิดว่ามีไหมละลายที่ใช้ภายนอกได้ไหม ไม่อยากจะตัดไหมเลย แงงงงง)

พอหมอเย็บเสร็จก็จากไป แล้วพยาบาลก็เข้ามาบอกว่าตอนนี้เวลาประมาณ 2 ทุ่มนะคะ ให้นอนอยู่ตรงนี้ถึง 4 ทุ่มถึงจะย้ายไปห้องพักค่ะ ระหว่างที่นอนอยู่ตรงนี้ก็จะมีพยาบาลมาดูเป็นระยะๆ มาคอยกดน้ำคาวปลาให้ออกมาจากท้อง แล้วก็มาให้เราเปลี่ยนชุดจากชุดคลอดเป็นชุดนอนเปิดหน้าที่ต้องเตรียมมาจากบ้านเอง (ที่โรงพยาบาลไม่มีชุดคนไข้ให้ค่ะ) รวมทั้งกางเกงในแบบเปิดหน้าที่ก็ต้องเตรียมมาเองเช่นกัน

พอ 4 ทุ่มกว่าๆ พยาบาลมาเช็คความเรียบร้อยและความสมบูรณ์ของคนไข้แล้วค่อยให้เราลุกจากเตียงคลอดกลับไปห้องพัก ซึ่งบอกสามีว่าขอห้องเดี่ยวนะ อยากพักผ่อนสบายๆหน่อย และเผื่อว่าสามีจะมาอยู่เป็นเพื่อนได้ แต่พอหลังจากสามีทำเรื่องเอกสารต่างๆกับทางโรงพยาบาลครบ ประมาณ 5 ทุ่ม พยาบาลก็เข้ามาคุยเรื่องเอกสารและมาบอกว่าที่นี่ห้ามสามีค้างนะคะ ต้องกลับบ้านและเวลาเยี่ยมคือ 14:00-20:00 น. เท่านั้น คืนนั้นสามีก็เลยต้องกลับบ้านไป และเราก็ต้องนอนโรงพยาบาลคนเดียวตั้งแต่หลังคลอดเสร็จ

หลังจากคลอดเสร็จแล้วก็ได้แฟ้มใสมา 1 แฟ้มพร้อมได้รับแจ้งว่าจะต้องบันทึกว่าคุณแม่ปัสสาวะและอุจจาระตอนไหนบ้างในแต่ละวัน พอครบวันก็ให้สรุปจำนวนครั้งไว้ด้านท้ายของตาราง โดยที่หลังคลอด คุณแม่จะต้องปัสสาวะใส่กระบอกที่โรงพยาบาลเตรียมไว้ นี่ก็พยายามเข้าห้องน้ำไป 2 ครั้ง แต่สุดท้ายพยาบาลบอกว่าขอสแกนหน่อยว่าในกระเพาะปัสสาวะมีน้ำค้างอยู่เท่าไหร่ แล้วตรวจเจอว่ามีน้ำค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะถึง 755ml (ทั้งๆที่ปัสสาวะออกไปแล้ว 2 ครั้ง) ก็เลยต้องยอมให้พยาบาลสวนปัสสาวะออก พยาบาลอธิบายว่าคนเพิ่งคลอดส่วนใหญ่มักจะมีปัญหาเรื่องปัสสาวะไม่ออก ปัสสาวะขัด ลืมปวดปัสสาวะ… ซึ่งก็คงจะจริง เลยได้รับคำสั่งให้กินน้ำเข้าไปเยอะๆ แล้วพยายามเข้าห้องน้ำทุก 3-4 ชั่วโมง (คือมีพยาบาลมาปลุกเรียกให้ไปเข้าห้องน้ำจริงๆนะ 555) จนรอบตีสามก็สถานการณ์ดีขึ้น พอเช้าพยาบาลเลยบอกว่าสามารถปัสสาวะเองแล้วจดบันทึกส่งอย่างเดียวได้ เค้าจะไม่มาเฝ้าและตรวจปริมาณปัสสาวะแล้ว พร้อมกับอธิบายเกี่ยวกับแผ่นอนามัยซับเลือดที่ยังซึมออกมาทางช่องคลอด (ที่อาจจะยังซึมไปอีกประมาณ 1 เดือน)

ทั้งนี้ตลอดเวลาเกือบ 18 ชั่วโมง ต้องขอบคุณสามี ทีพยายามอยู่ข้างๆตลอด แม้ว่าช่วงท้ายๆจะเจ็บท้องจนผีเข้า สติแตก โวยวาย งอแง งี่เง่า แต่ก็เข้าใจเราและไม่ทิ้งเราไปไหน จนทุกอย่างเรียบร้อยไปด้วยดี ❤️สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับกิจกรรมตลอดการพักฟื้นตลอด 5 วันที่โรงพยาบาลจะตามมาอีกทีค่า

เสริมเพิ่มหน่อยว่า ตอนหลังคลอดออกมาตอนที่พยาบาลพาไปทำความสะอาดตัว แล้วคุณพ่อเดินตามไปคือ พยาบาลจะเริ่มจากดูดน้ำออกจากปอดลูก ชั่งน้ำหนัก วัดความยาวตัว รอบหัว รอบอก ทำความสะอาดตัวและให้คุณพ่อเขียนชื่อด้วยปากกาเมจิกที่เท้าของลูกไว้ด้วยนะคะ

มีต่อที่ ประสบการณ์การคลอดลูกที่ญี่ปุ่น (PART 2)

มันส์ต้องแชร์
สาวอักษรเอกจีน พูดเกาหลีที่ถนัดงาน event แต่สุดท้ายกลายมาเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกอยู่ที่ญี่ปุ่น

One thought on “ประสบการณ์การคลอดลูกที่ญี่ปุ่น (PART 1)

  1. สวัสดีค่ะ อยู่ญี่ปุ่น เหมือนกัน
    อยากได้ข้อมูล เกี่ยวกับตาราง ที่โรงพยาบาลจัดให้ชัดๆจังเลยค่ะ พอดีเราไม่เก่งภาษาญี่ปุ่น ด้านการแพทย์เลย สื่อสาร แบบทั่วไปได้ แต่ศัพท์ หมอ งงเป็นไก่คาแตก

    รบกวนช่วย @ line id: lindasia_za มาทีได้มั้ยคะ อยากได้รูป และอยาก สอบถาม เพิ่มเติมเกี่ยวกับการคลอดลูกมากๆๆเลยค่ะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back To Top