ต้อนรับการลงฉายใน Netflix ของภาพยนตร์เสียดสีสังคมเรื่องระบบชนชั้นชื่อดังสัญชาติเกาหลีใต้ อย่าง Parasite หรือแปลตามตรงเป็นไทยได้คือ ชนชั้นปรสิต ที่ได้กวาดรางวัลมาหลายสาขา รวมถึงเป็นภาพยนตร์ ที่เมื่อปี 2019 ผู้เขียนได้ชมในโรงภาพยนตร์แล้วประทับใจด้วยค่ะ เมื่อมีโอกาสได้ชมทาง Netflix อีกครั้งจึงเก็บรายละเอียดในภาพยนตร์มาตีความดูในมุมมองของผู้เขียนค่ะ แต่ในบทวิเคราะห์นี้จะมีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์นะคะ
หากเราได้รับชมภาพยนตร์ Parasite แล้ว เราจะเห็นความแตกต่างได้ชัดของความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นของครอบครัวพัคผู้เป็นเศรษฐีใหม่ และครอบครัวชนชั้นล่างอย่างครอบครัวคิม ผ่านสภาพความเป็นอยู่ การดำรงชีพของตัวละคร ซึ่งสะท้อนภาพความแตกต่างของคุณภาพชีวิตทางสังคมชนชั้นได้อย่างน่าสังเวชใจ บทความนี้ผู้เขียนจะมาวิเคราะห์โลกของชนชั้นสูงจากภาพยนตร์ Parasite ว่าชีวิตบนกองเงินกองทอง สะดวกสบาย หรูหรา เปรียบประดุจถูกห่อหุ้มอยู่ในโลกอันสวยงาม ในมุมของผู้เขียนจะเปรียบโลกของครอบครัวพัคเสมือนการถูกห่อไว้ในบับเบิ้ลกันกระแทก ไม่ต้องผ่านการใช้ชีวิตที่ยากลำบาก ดิ้นรนเหมือนกับครอบครัวคิมที่จะต้องดิ้นรน ปากกัด ตีนถีบ หาทางอยู่รอดในการดำรงชีวิตให้ผ่านไปแต่ละวันในโลกของทุนนิยม และระบบโครงสร้างของสังคมอันน่าสิ้นหวัง ที่ไม่ได้อำนวยคุณภาพชีวิตที่ชีวิตมนุษย์ทุกชนชั้นพึงควรจะมีสิทธิ์เข้าถึง
อย่างไรก็ตาม บับเบิ้ล กันกระแทกที่แปะอยู่กับครอบครัวพัคในอีกด้าน ได้ปิดกั้นความเป็นจริงของชีวิตภายนอกมุมมองของโลกอันหรูหรา ทำให้ตัวละครจากครอบครัวพัค ที่แม้ว่าชีวิตจะสะดวกสบาย สามารถใช้เงินทองแก้ปัญหาต่างๆ ได้ง่ายเพียงแค่ควักจ่าย แล้วก็ควักจ่าย มีชีวิตที่เหมือนติดอยู่ใน บับเบิ้ล กันกระแทกหรือ เรียกได้ว่า ignorance รอบด้าน สุดจะย้อนแย้งกับสถานะทางสังคมที่พึงพาพวกเขาเข้าถึงทรัพยากรแห่งปัญญาได้มากกว่าชนชั้นล่าง อย่างการมีเงินจ้างครูสอนพิเศษราคาสูงมาสอนลูกๆได้ถึงที่บ้าน ในขณะที่ลูกๆครอบครัวคิมไม่มีแม้แต่เงินเรียนต่อมหาวิทยาลัยแต่กลับมีทักษะชีวิตในการเอาตัวรอด ใช้ความสามารถได้เยี่ยมยอดแม้ว่าจะผิดศีลธรรม หรือเบียดเบียนผู้อื่นไปไม่มากก็น้อย ซึ่งจากภาพยนตร์ผู้เขียนวิเคราะห์และตีความประเด็นโลกของชนชั้นสูงกับความไม่รู้อะไรที่อยู่ใน โลกบับเบิ้ลกันกระแทก จากตัวละคร ฉาก หรือสัญลักษณ์ต่างๆ ดังนี้ค่ะ
บ้านหรือที่อยู่อาศัย
บ้าน คือ สัญลักษณ์ที่เด่นชัดทางชนชั้นของภาพยนตร์ ในขณะที่บ้านชนชั้นล่างของครอบครัวคิมที่อาศัยอยู่ที่ใต้ถุนแคบๆ ในชุมชนแออัด ที่แม้แต่เวลานั่งรับประทานอาหารก็มีคนเมามาปัสสาวะโชว์ในระดับที่เหนือสายตาขึ้นไปอีก ที่ตั้งของชุมชนแออัดเป็นที่ลาดลงมาทางด้านล่างของเนิน สังเกตได้จากฉากที่ สามพ่อลูกครอบครัวคิม เดินทางกลับบ้านด้วยเท้าฝ่าฝนกลับบ้าน วิ่งลงเนินโซนที่อยู่ของชนชั้นสูง ผ่านลงอุโมงค์รถวิ่ง ลงบันได ทางลาดลงมา หลายขั้น จนถึงชุมชนแออัดที่เมื่อฝนตก พัดพาเอาน้ำเน่ามาท่วมบ้าน น้ำอาจมทะลักล้นส้วมออกมาจนต้องอพยพราวกับฝูงแมลงสาบหนีน้ำ ไปนอนรวมกับกลุ่มชนชั้นล่างด้วยกันที่โรงยิม
ส่วนบ้านของครอบครัวพัคเศรษฐีใหม่ที่มั่งคั่ง ออกแบบโดย อาจารย์นัมกุง สถาปนิกชื่อดังของเกาหลี มีลักษณะที่ตั้งอยู่บนยอดเนินขึ้นไปในย่านที่เงียบสงบ บริเวณบ้านล้อมรอบด้วยกำแพงทึบสูงเหมือนกับเป็นบับเบิ้ลกันกระแทก ปิดกั้นอาณาเขตของครอบครัวพัคออกจากพื้นที่ของโลกภายนอก แสดงความเป็นส่วนตัวที่สูง ประตูทางเข้ามีกล้องวงจรปิดจับภาพ แขกผู้มาเยือนจะต้องกดออด และพูดแสดงตัวตนผ่านออดคุยกับแม่บ้าน ทางเข้าบ้านเป็นบันไดเดินขึ้นไปอีก มีสวนสวยงามพร้อมระบบรดน้ำสนามหญ้าอัตโนมัติอย่างดี เมื่อเดินขึ้นมาอีก ภายในตัวบ้านมีขนาดกว้างขวาง พอที่จะเป็นสนามเด็กเล่น โดยที่ ดาซงลูกชายครอบครัวชนชั้นสูง สามารถเล่นบทเป็นอินเดียนแดงที่เขาชอบได้อย่างสบาย ไม่ต้องไปเล่นในสนามเด็กเล่นปะปนกับเด็กคนอื่นๆที่อาจมาจากต่างชนชั้น ให้เสี่ยงจากอุบัติเหตุ จากผู้คนภายนอก สมาชิกในครอบครัวมีพื้นที่ หรือ บับเบิ้ล กันกระแทก ส่วนตัวได้อย่างสบายๆในมุมห้องของตัวเอง ภายในบริเวณที่เรียกได้ว่าเป็น “บ้านที่พวกเขารู้จัก” ตั้งแต่ย้ายเข้ามา เป็นสัญลักษณ์ของครอบครัวชนชั้นสูงที่แสดงถึง ความรู้สึกที่ปลอดภัยจากอันตราย ความเจ็บ ความลำบาก และที่สำคัญความจน …
ตั้งแต่ที่ครอบครัวพัคย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ ที่เรียกได้ว่าเป็นบ้านของตัวเอง พวกเขาก็มีความ ignorance ได้ขนาดที่ไม่ได้รู้จักกับบ้านหลังนี้จริงๆ พวกเขาไม่รู้จักแม้แต่ประวัติของบ้านที่พวกเขาย้ายเข้ามาอยู่อาศัยว่ามีชั้นใต้ดินที่ลึกลงจาก ชั้นใต้ดินที่พวกเขารู้จักไว้ใช้เก็บของลงไปอีกของบ้าน ที่จะลงไปได้เพียงแค่เลื่อนตู้เก็บของออกจะเจอบันไดลงไปข้างล่างอีก ที่เจ้าของบ้านคนเก่าที่เป็นสถาปนิกสร้างไว้เป็นหลุมหลบภัยสมัยสงคราม หรือหลบเจ้าหนี้ อาจเนื่องมาจากเจ้าของบ้านคนเก่าไม่ได้บอกไว้ เพียงเพราะแค่อยากขายออกแล้วลี้ภัยหนี้เจ้าหนี้ไปให้พ้นๆ จึงหลอกขายให้กับครอบครัวพัค รวมถึงแม่บ้านมุนกวังที่เจ้าของบ้านคนเก่าฝากฝังไว้ให้กับครอบครัวพัค ก็ปิดบังความลับนี้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ฉะนั้นจึงไม่ต้องสืบเรื่องชีวิตภายนอกโซน บับเบิ้ลกันกระแทกของครอบครัวพัคว่าพวกเขาจะรู้จัก รับรู้ใดๆ เกี่ยวกับโลกแห่งความเหลื่อมล้ำที่มีชนชั้นล่างผู้ต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนเพื่ออยู่รอดในโลกของทุนนิยม หรือแม้แต่มีคนที่ มาแอบอาศัยอยู่ในชั้นใต้ดินนั้นของตัวบ้าน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สะท้อนถึงชีวิตชนชั้นสุดจะล่างของสังคมอย่าง กึนเซ สามีของมุนกวังแม่บ้านคนแรก ผู้แอบเข้ามาอาศัยอยู่ที่ใต้ดินของตัวบ้านเป็นเวลานานมากกว่า 4 ปี หลังจากที่สายป่านร้านเค้กคัสเตลาของเขาที่ยาวไม่พอขาดลง เพื่อหลบเจ้าหนี้ และประทังชีวิตด้วยอาหารจากตู้เย็นของครอบครัวพัค แสดงให้เห็นว่าคนมั่งมี แม้ทรัพยากรอาหารในตู้เย็นจะโดนตอดหายไปบ้างก็ไม่สะเทือนทุนทรัพย์ หรือกระทบปากท้องพวกเขาเลย เพราะพวกเขามีบับเบิ้ล กันกระแทกอย่างเงินทองที่มีให้ใช้อย่างไม่ขาดมือคอยปกป้องอยู่ หรือเป็นสายป่านให้กิจการของคุณพัคดำเนินไปได้อย่างสวยงาม ทำให้พวกเขาไม่แม้แต่จะรับรู้ถึงสิ่งที่พร่องหายไปอย่างอาหารที่เป็นปัจจัยหลักของมนุษย์ทุกคนเลยด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ เหตุการณ์ที่ดาซง ลูกชายครอบครัวชั้นสูง ในวันเกิดตอนที่เขาอยู่ประถม 1 เขาลงมากินเค้กแสนอร่อย เพราะครีมมันอร่อยเลิศจนอยากทานอีกในกลางดึก สะท้อนถึงวัตถุดิบอย่างดีเปี่ยมด้วยคุณภาพของขนมหวานที่ชนชั้นบนบริโภคในงานวันเกิด วันนั้นดาซงได้บังเอิญพบกับ กึนเซ ที่คืบคลานขึ้นมาจากชั้นใต้ดินเพื่อหาของกินประทังชีวิตจากตู้เย็นของครอบครัวพัค แต่พวกเขาลงความเห็นว่า กึนเซ เป็นผีในบ้าน ที่ครอบครัวพัคเชื่อว่าจะให้โชคทั้งๆที่กึนเซเป็นคนเป็นๆ ที่ต้องการอาหารเพื่อประทังชีวิตเนี่ยแหล่ะ และการเงินของครอบครัวพัคก็บัญเอิญ เงินทองไหลมาเทมาจริงๆ คล้ายๆกับการเสียดสีระบอบเผด็จการที่ชนชั้นสูงทำนาบนหลังคนชนชั้นล่าง เพราะในภาพยนตร์ครอบครัวพัคก็มี ครูสอนพิเศษมาสอนลูกๆ แม่บ้านคอยทำความสะอาด ดูแลบ้านใหญ่โตทั้งหลัง จ้างคนรถมาขับรถให้ คอยอำนวยความสะดวกให้คุณพัค ดงอิก หัวหน้าครอบครัว ได้ถึงฝั่งฝันในธุรกิจได้อย่างสะดวกสบาย และคุณนายอยู่สบายไปวันๆ บนสังคมสถานะบนๆของพีระมิด ที่สำคัญ ครอบครัวพัค ตีตรากึนเซว่าเป็นผีจากห้องใต้ดิน แสดงในเห็นถึง ความไม่รู้ของชนชั้นสูงถึงการมีตัวตนอยู่และความเป็นอยู่ของชนชั้นล่างอย่างสิ้นเชิง เหมือนอยู่ในโลกบับเบิ้ลกันกระแทกของชั้นสูงก็ไม่ปาน
เห็นได้ชัดถึงความไร้ตัวตนในสายตาของชนชั้นล่าง ในฉากท้ายๆของภาพยนตร์ที่กึนเซปรากฏตัวในงานเลี้ยงวันเกิดที่สวนหลังบ้านของดาซง โดยมีเป้าหมายที่จะขึ้นมาจัดการชุงซุก ที่ผลัก มุนกวังภรรยาของเขาตกบันไดลงห้องใต้ดินจนเสียชีวิต แม้กึนเซจะกล่าวทักทาย หัวหน้าครอบครัว อย่าง พัคดงอิก พร้อมกับ สดุดี แต่กลายเป็นว่าสิ่งที่ ดงอิกตอบกลับ คือ “คุณ คือใคร รู้จักผมด้วยหรือ” เป็นการตอกย้ำความไร้ตัวตนในสายตาของชนชั้นล่าง ทั้งๆ ที่เป็นฝุ่นอยู่ใต้ตีนชนชั้นสูงในภาพยนตร์แท้ๆเลย ผู้เขียนตีความว่าผู้กำกับต้องการเสียดสีสังคมเกาหลีเหนือ ถึงระบอบเผด็จการ ถึงการมีอำนาจของคนบนยอดพีระมิด ที่มีคนข้างล่างผู้ยอมจำนนต่อชีวิต อยู่อย่างทาสในชั้นใต้ดินที่อัตคัด โดยอยู่ๆ ไปในนั้นสติจะเลอะเลือนไปวันๆ แต่กลับปลอบประโลมตัวเองด้วยมายาคติ ที่ว่าชนชั้นสูงผู้เป็นเจ้าของอาณาเขต คือผู้ให้ที่อยู่อาศัย โดยคนชั้นใต้ดินจะคอยใช้หัวโขกไฟจนสมองกระเทือน เพื่ออำนวยความสะดวกให้แสงสว่างระหว่างที่หัวหน้าครอบครัว หรือท่านผู้นำเดินผ่านมาจะได้มีแสงสว่างด้านบน เหมือนกับการสรรเสริญ “respect!” ให้สว่างทุกครั้งเวลาท่านพัคเจ้าของบ้านย่าวก้าวผ่านเพื่อสดุดี จนคุณนายเข้าใจว่าเซนเซอร์ไฟเสีย ยิ่งตอกย้ำความเป็นความเป็นจริงที่ชนชั้นสูงผู้อยู่ใน โลกบับเบิ้ลกันกระแทกไม่ได้รับรู้นึกถึงการมีตัวตนของชนชั้นใต้ตีน ผู้นำโชคเงินทองมาให้ตนดำรงชีวิตอยู่อย่างสุขสบายเลย ประเด็นนี้ล้อได้กับประเทศ เกาหลีเหนือกับระบอบคิมจองอึนที่ ผู้อยู่ใต้การปกครองจะถูกสอดแนมจากกำลังทหาร และประชาชนชาวเกาหลีเหนือ ไม่รู้จักโลกภายนอกเหมือนกับอยู่ใน บับเบิ้ลกันกระแทก พวกเขาไม่รู้แม้แต่การมีอยู่ของทัชมาฮาล เทพีเสรภาพ หรือภาษาอื่นๆนอกจากภาษาเกาหลี รู้จักแค่อาหารที่อร่อยที่สุดในโลก คือ บะหมี่เย็นเกาหลี แนงมยอน ประดุจดังอยู่ในโลกบับเบิ้ลแห่งความไม่รู้อะไรของชนชั้นสูงในเรื่อง เหอๆ ซึ่งผู้กำกับภาพยนตร์เสียดสีประเทศเผด็จการอย่างเกาหลีเหนือได้อย่างแยบยลเลยล่ะค่ะ
สุนัข หรือสัตว์เลี้ยงในบ้านครอบครัวชนชั้นสูง
นอกจากแมลงสาบที่ยั้วเยี้ยอยู่บนโต๊ะทานอาหารของครอบครัวคิม ที่ต้องคอยกำจัด แม้แต่ยาพ่นแมลงก็ต้องเปิดหน้าต่างบ้านใต้ถุนเพื่อได้กำจัดแมลงฟรี จนสมาชิกในครอบครัวคิมต้องโดนรมควันไปด้วยไม่ต่างกับแมลงสาบนั้น สะท้อนถึงสัญลักษณ์ของชนชั้นล่าง ที่คอยแอบเข้ามาเบียดเบียน พื้นที่ อาหาร สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆในบ้านของชนชั้นสูง จนเจ้าของบ้านที่แท้จริงกลับมาบ้าน พวกแมลงสาบก็แตกกระจายไปคนละทิศละทาง ในภาพยนตร์เจ้าสุนัข อย่างน้องจูนี น้องเบร์รี และน้องพูพู ในมุมของผู้เขียน น้องๆก็มีความหมาย เป็นสัญลักษณ์ให้ตีความในภาพยนตร์เช่นกันค่ะ
หลายฉากในภาพยนตร์จะสังเกตได้ว่ามีสุนัขมาร่วมประกอบฉาก ตั้งแต่คิม กีอู ลูกชายครอบครัวชนชั้นล่างเข้ามาภายในบ้านเพื่อสอนพิเศษภาษาอังกฤษให้ พัค ดาฮเย ลูกสาว ครอบครัวชนชั้นสูง เราจะเห็นว่าคุณนาย กโยจะอุ้มสุนัขอยู่บ่อยๆ ดูให้ความสำคัญกับมันอย่างมาก เนื่องจากตัวคุณนายเอง จริงๆแล้วก็ไม่ได้แตกต่างจากน้องๆซักเท่าไหร่….
คุณนายเหมือนเป็นชนชั้นเดียวกันในครอบครัวกับสุนัข ด้วยความที่เป็นภรรยาของสามีผู้มั่งคั่ง ตัวสามีอย่างคุณดงอิกมีความเป็นใหญ่ในบ้าน ตัวคุณนายเองก็เป็นผู้อาศัยอยู่ในอาณาเขตบับเบิ้ลกันกระแทกภายในบ้านที่ผู้เป็นสามีเนรมิตขึ้นมาให้ โดยมอบหมายหน้าที่ให้คุณนาย กโย ดูแลลูกๆและเรื่องต่างๆภายในบ้าน แต่แท้จริงแล้วเหมือนเป็นเพียงแค่ในนามของภรรยา เพราะส่วนมากสิ่งที่ต้องลงมือทำจริงๆภายในบ้าน เป็นหน้าที่ของคุณแม่บ้านประจำครอบครัว การจัดหาครูสอนพิเศษ หรือคนงานในบ้านต่างๆ หากดูเผินๆก็เหมือนคุณนายเป็นผู้รับผิดชอบ แต่จริงๆแล้วเป็นการแนะนำต่อๆกันมาทั้งนั้น “เหมือนกับเป็นห่วงโซ่” โดยที่ไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองไตร่ตรองใดๆ ของคุณนายเท่าไหร่เลย ที่จะเปิดรับคนที่น่าไว้ใจใดๆเข้ามาทำงานภายในบ้านที่ ดูเหมือนว่าจะเป็น บับเบิ้ลกันกระแทกให้สมาชิกในครอบครัวได้อย่างราบรื่น แต่จริงๆแล้วเป็นจุดเริ่มต้นของการแง้มบับเบิ้ลในเปิดออก
สังเกตได้จาก ฉากแรกที่เราเห็นคุณนาย คือ คุณเธอนอนงีบหลับลึกที่สวนหลังบ้าน ในวันแรกนัดพบครูสอนพิเศษภาษาอังกฤษคนใหม่ของลูกสาว ที่แม้คุณแม่บ้านมุมกวังจะเรียก คุณเธอก็ไม่ตื่น จนต้อง ปรบมือเพื่อปลุกเธอให้ตื่น หรือเอกสารการศึกษาที่กีอูปลอมแปลมขึ้นมาเพื่อสมัครเป็นครูสอนพิเศษก็ไม่เลยแม้แต่จะหยิบมาดู แต่อาศัยความไว้ใจที่มินฮยอกครูคนก่อนแนะนำเพื่อนมาให้ โดยมินฮยอกเล่าให้กีอูฟังว่าคุณนาย “ยังสาวและง่ายๆ” ตีความได้ถึงความอ่อนต่อโลกไม่ทันคนของคุณนาย ผู้อาศัยอยู่ใน บับเบิ้ลกันกระแทกของโลกชนชั้นสูง ปิดการรับรู้ของการมีอยู่ของชนชั้นอื่นของคุณนาย จนคุณเธอเป็นผู้ลงมือกรีด บับเบิ้ลกันกระแทกด้วยตัวเธอเอง จากที่รับครอบครัว 18 มงกุฎ อย่างครอบครัวคิมเข้ามาก่อให้เกิดความวุ่นวายภายในบ้าน โดยไม่มีความเฉลียวใจแม้แต่น้อย จากความบังเอิญที่รู้จักกัน หรือไม่แม้แต่จะหาข้อมูลต่างๆแม้แต่น้อย ทำให้คุณนายไม่ต่างกับสุนัขในบ้าน เป็นสัตว์เลี้ยงของผู้เป็นสามี อย่างคุณพัค ดงอิก ที่เมื่อถึงเวลาสามีกลับมาคอยเดินตามต้อยๆ เหมือนกับน้องๆ จูนี เบร์รี และพูพู เลยค่ะ หากสังเกตดีๆ ในฉากที่กิมอูเดินตามคุณนายที่อุ้มน้องตัวหนึ่งขึ้นบันไดไปสาทิตการสอนครั้งแรก จะเห็นอีกด้านที่มีน้องตัวหนึ่งเห่าคุณแม่บ้านมุนกวังเบาๆ คล้ายๆกับเวลาคุณนายออกคำสั่ง จะเป็นรายละเอียดเล็กน้อยที่เสียดสีผู้เป็นภรรยาชนชั้นสูง ในสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ได้อย่างแสบๆคันๆเลยค่ะ ว่าจริงๆแล้วหล่อนน่ะไม่ค่อยรู้อะไร ignorance อยู่แต่ใน บับเบิ้ลกันกระแทกไม่ต่างกับน้องสุนัขที่เลี้ยงเลยนะยะ เป็นสัตว์เลี้ยงของสามีเธอน่ะสิ ทำงานบ้านก็ไม่ได้ ทำกับข้าวก็ไม่เอาอ่าว แต่ก็ได้ความรักในรูปแบบความเป็นอยู่อันสุขสบายจากสามี ละม้ายคล้ายกับสัตว์เลี้ยงของคนรวยเลยล่ะ
นอกจากความอ่อนต่อโลกของคุณนายก็ยังมีความอ่อนไหวอยู่ด้วย จะสังเกตได้จาก ฉากที่กิมจองลูกสาวครอบครัวชนชั้นล่าง หรือครูศิลปะบำบัดกำมะลอถามถึงเหตุการณ์ที่ดาซง เคยเจอในบ้านหลังนี้ คุณนายก็จะน้ำตาไหลออกมาอย่างอัดอั้นใจ จนกิมจองมาเฉลยกับครอบครัวชนชั้นล่างในฉากที่ทานข้าวพร้อมหน้าในโรงอาหารคนขับรถเมื่อกิมอูพี่ชายถามเธอทำอะไรแม่เด็กถึงสติแตกล่ะ ว่า “แค่กูเกิ้ลศิลปะบำบัด แล้วก็พูดส่งเดชไป” ครอบครัวคิมก็สรุปกันได้อย่างชัดเจนเลยว่าบ้านนี้น่ะหลอกง่ายจะตายโดยเฉพาะคุณนาย รวมไปถึงที่ครอบครัวคิมรวมหัวกันป้ายสีแม่บ้านมุนกวังว่าเป็นวัณโรค คุณนายก็แทบเป็นลม เมื่อได้กลับมาได้ยินแม่บ้านมุนกวังไอหนักมาก เพราะโดนเอาขุยลูกพีชมาใส่ และคนขับรถคิมหยิบทิชชู่เปื้อนที่ดูเหมือนเลือดปลอม ซึ่งจริงๆแล้วเป็นเพียงซอสมะเขือเทศจากถังขยะให้คุณนายดู คุณนายก็เชื่อพร้อมกำชับไม่ให้เล่าให้สามีฟังว่าทำไมถึงให้แม่บ้านมุนกวังออกกะทันหันทั้งๆที่เป็นแม่บ้านชั้นดี เพราะคุณนายกลัวสามีรู้ว่าเธอจ้างคนเป็นวัณโรคมาทำงาน แต่ความจริงที่แย่ไปกว่านั้นคือเธอจ้างครอบครัว 18 มงกุฎเข้ามาทำงาน ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยเนอะ เป็นชนชั้นสูงผู้ ignorance ที่แท้ทรู
แม้จะเป็นอีกหนึ่งในลูกคนรวยของครอบครัวก็เป็นคนอื่นคนไกลได้
ภาพของครอบครัวคิม ชนชั้นล่าง จากภาพยนตร์ที่มักจะเห็นฉากที่พวกเขาได้ใช้เวลาใกล้ชิดอยู่ด้วยกันของสมาชิก ไม่ว่าจะเป็นทำงานพับกล่องพิซซ่า เฉลิมฉลองดื่มเบียร์ราคาถูกเนื่องในโอกาสโทรศัพท์หายเสีย และมีวายฟายฟรีใช้ ร่วมกันวางแผนต้มตุ๋นครอบครัวชนชั้นสูงกันเป็นทีมเพื่อให้สมาชิกทุกคนมีงานทำเพื่อคุณภาพปากท้องที่ดีขึ้น หรือแม้กระทั่งแอบมาใช้บ้านเจ้านายเป็นที่สังสรรค์ชั่วคราว ระหว่างที่ครอบครัวพัคไปแคมปิ้ง แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ที่เชื่อมต่อกันของสมาชิก อาจจะเป็นเพราะพื้นที่ในบ้านใต้ถุนอันคับแคบทำให้สมาชิก ไม่มีมุมส่วนตัว หรือโอกาสครั้งแรกที่ได้พักผ่อนจากการทำงานรับใช้สมาชิกของครอบครัวพัค ทำให้ครอบครัวชนชั้นล่างสนิท รู้ใจกัน รู้จักกัน ในความสัมพันธ์ ของ พ่อ แม่ ลูกชาย และ ลูกสาว จะเห็นได้จาก ฉากที่ กีแท๊กผู้เป็นพ่อ และ ซุงซุกคนแม่ เล่นตบมุขกันอย่างเป็นธรรมชาติในฉากห้องนั่งเล่นของบ้านครอบครัวพัค หรือ ฉากที่กีอูเอาน้ำดื่มขึ้นไปให้ กีจองระหว่างอาบน้ำในอ่างอาบน้ำ พร้อมดูทีวีไปด้วยในห้องน้ำของครอบครัวพัค ที่กีจองพูดว่า “พี่ช่างรู้ใจฉันจริงๆ” ทำให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิด และความรู้จักเข้าใจกันของครอบครัวคิม
ในขณะที่ครอบครัวพัค ชนชั้นสูงในภาพยนตร์ หากสังเกตรายละเอียดดีๆก็มีความเหลื่อมล้ำที่บาดลึกซ่อนอยู่ โดยมี พัค ดงอิก เป็นใหญ่ ด้วยความที่เป็นหัวเรือใหญ่ของบริษัทที่ทำรายได้ไหลมาเทมา และเป็นหัวหน้าครอบครัว มีดาซง ลูกชายคนเล็กเป็นศูนย์กลางของจักวาลของบ้าน จากฉากที่คุณนายพูดว่า “ลูกเทวดา ทั้งบ้านต้องมาเอาใจเด็กคนเดียว” ส่วนคุณนายกโยก็เป็นคุณนายของบ้าน ที่ความจริงแล้วเปรียบเสมือนสัตว์เลี้ยงของสามี เพราะศักยภาพเซลล์สมองของตัวละครไม่ค่อยแสดงออกมาให้เห็นเป็นที่ประจักษ์สักเท่าไหร่ นอกจาก รายละเอียดอาหารสุนัขสูตรต่างๆ หรือการจัดงานปาร์ตี้เฉลิมฉลองรื่นเริงที่แสดงตัวตนของชีวิตคุณนายอยู่ใน บับเบิ้ล กันกระแทก ตัดกันกับโลกของชนชั้นล่างของครอบครัวคิมอย่างเห็นได้ชัด
ตัวอย่างความไม่รู้ประสาที่ชัดเจนของคุณนายและสามีก็คือ ความแตกต่างความเหลื่อมล้ำอันชัดเจนที่ผู้ชมภาพยนตร์ทุกคนจะได้เห็น คือคืนวันฝนตก ที่สามีภรรยาครอบครัวพัค ระเริงรักกันอย่างเพลินเพลินจนหลับไปอย่างสบายบนโซฟาตัวใหญ่นุ่มๆ ในขณะที่ครอบครัวคิมต้องต่อสู่กับความวุ่นวาย กับคู่ของกึนเซ และมุมกวังในชั้นใต้ดิน ที่จะมาขัดผลประโยชน์การอยู่รอดของพวกเขา ในโลกทุนนิยมแห่งนี้ กีแท๊ก กีอู และกีจองต้อง มาทนนอนอยู่ใต้โต๊ะเพื่อหาโอกาสหลบหนีออกจากบ้านครอบครัวพัคอย่างลุ้นระทึก ต้องทนฟังพวกเขารักกันบนโซฟา และคำดูถูกเหยียดหยามชนชั้นล่าง เพียงเพราะเด็กเวรๆคนเดียวเล่นไม่ยอมกลับไปนอนบนเตียงนุ่นๆ แต่ดัดจริตอยากนอนในเต้นท์กระโจมอินเดียนแดง ที่สวนหลังบ้าน นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของความ ไม่รู้อะไรอีกแล้วจ้า ของชนชั้นบนถึงการมีอยู่ของชนชั้นล่าง ที่นอนอยู่ใต้โต๊ะข้างๆโซฟาที่พวกเอ็งนอนกันอยู่เนี่ยแหล่ะ แม้แต่การได้กลิ่นสาปๆคนจนของนายคิมคนขับรถ ยังไม่เอะใจแม้แต่น้อยที่จะหาต้นตอว่ากลิ่นมันมาเตะจมูกได้อย่างไร ทำได้เพียงแค่นินทาดูถูกลับหลัง (เผาขนวอดวายเลย 555555555)
ยังไม่พอตอนเช้า ครอบครัวพัคตื่นขึ้นมาอย่างสดใส คุณนายก็โทรตามให้สมาชิกครอบครัวคิมมาช่วยงานวันเกิดให้ไอ้เด็กแสบดาซงอีก ก่อนจะแด๊ะแด๋โทรตามเพื่อนๆชนชั้นสูงด้วยกันมางานเลี้ยงกะทันหัน เดรสโค้ดไม่มีนะจ๊ะ กางเกงวอร์มมาก็ได้ ของขวัญมิต้อง ถอยมินิของเธอเข้ามาในโรงรถได๋เลยจ้า แต่อย่าบังเบนซ์น๊า มาเมากันตั้งแต่หัววันให้สนุกได้เลย โดยไม่รับรู้ใดๆเลยว่า ความเหลื่อมล้ำเมื่อคืนมันสาหัสกับอีกครอบครัวขนาดไหน สามพ่อลูกจะต้องผจญกับน้ำเน่าที่ท่วมเข้าบ้าน มีอาจมทะลักออกมาจากส้วม ซึ่งพินาศมากมาย บ้านใต้ถุนของครอบครัวคิม คือเทียบไม่ติดกับเต้นท์กระโจมเด็กเล่นดัดจริตของดาซงที่สั่งซื้อมาจากอเมริกาเลยจ้า คือกันน้ำดีมาก อาจจะไม่นุ่มเท่าเตียงนอนนุ่มๆ แต่คุณน้องแกหลับสบายจนถึงเช้าอ่ะ คิดดู๊วววว ไม่พอทั้งสามคนพ่อลูกครอบครัวคิมต้องอพยพไปนอนรวมกับชนชั้นล่างด้วยกันที่โรงยิม พร้อมหาเสื้อผ้ามางานวันเกิดเด็กเวรที่จัดซะหรูหราอีก พาสต้า กราแตง สเต็กแซลมอนมีให้ทานไม่อั้น เพียงแค่ไปงานเลี้ยงวันเกิดครอบครัวคิมยังต้องดิ้นรนคุ้ยชุดบริจาคเน่าๆอ่ะแม่คูณ ผิดกับภาพคุณนายเดินเลือกชุดสวยงามในวอคอิน คลอเซตสุดหรูของเธอ แล้วยังมาพูดขอบคุณฝนเมื่อวานอีกนะ ที่ทำให้ฟ้าสดใส ชำระสิ่งสกปรกออกไปหมด เป็น contrast ที่เสียดแทงหัวใจผู้เขียนมากมาย เพราะนางอยู่ใน บับเบิ้ลกันกระแทก ที่ปกป้องนางจากความจน และไม่ต้องพยายามดิ้นรนใดๆนี่เอง เห็นได้ชัดถึงความ ignorance ไม่รู้จักโลกภายอีกชั้นว่าเป็นยังไงเลยล่ะ
ผู้เขียนฉะตัวละครสมาชิกครอบครัวชนชั้นสูงมาแล้ว 3 คน มาถึงคนสุดท้ายที่เหมือนจะไม่ค่อยมีอะไรมากมายในเรื่อง แต่หากสังเกตดีๆก็น่าสนใจมากอีกตัวละคร ก็คือ พัค ดาฮเย ลูกสาวของบ้านชนชั้นสูงนี่เองค่ะ จากที่ผู้เขียนตีความไปก่อนหน้า ขอชี้ว่า ตัวละครสามีและลูกชายพัค สะท้อนให้เห็นถึงสังคมผู้ชายเป็นใหญ่ ภายในครอบครัวนี้ ขนาดภรรยาก็กลายๆเป็นเพียงแค่สัตว์เลี้ยงของสามี ตามสามีต้อยๆ และตามเอาใจลูกชาย ดาซง มีก็แค่ ดาฮเยเนี่ยแหล่ะ ที่คล้ายๆกับเป็นส่วนเกินของครอบครัวในหลายๆฉาก นอกจากประเด็นคนชั้นสูงที่ ทำให้ชนชั้นล่างไร้ตัวตน เป็นคนชายขอบ (marginalize) จากความเหลื่อมล้ำของชนชั้นแล้ว ลูกสาวที่อยู่ในครอบครัวที่มีเพศชายเป็นใหญ่ แม้จะเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวก็เหมือนกับเป็นคนอื่นคนไกลในครอบครัวนี้อยู่ค่ะ ด้วยความที่ฉากส่วนมากในภาพยนตร์ เราจะเห็นดาฮเย แยกตัวออกมาจากสมาชิกในครอบครัวเป็นส่วนมาก เธอทำได้เพียงแค่แอบมองผ่านกำแพงมาบ่อยๆ เวลาครอบครัวมีแขกมา หรือคุยอะไรกัน ก่อนที่จะค่อยๆย่องขึ้นบันไดขึ้นไปที่ห้องของเธออย่างเงียบๆโดยที่ไม่มีใครสังเกต แม้แต่ตอนที่คุณนายผู้เป็นแม่ พบกีอูครั้งแรกในฐานะครูสอนพิเศษคนใหม่ก็กล่าวถึงมินฮยอกครูคนเก่า มากกว่าลูกสาวตัวเองซะอีก แม้แต่เกรดของลูกสาวเองยังแทบไม่ได้อธิบายถึง มองข้ามประเด็นนั้นไป โดยจะหาเพียงแค่ครูที่มองดูเจ๋งๆมาสอนลูก ไม่ได้ใส่ใจผลลัพธ์ที่ได้จากการเรียนของลูกสาวจริงๆ
แม้จะมีฉากขึ้นไปดูวิธีสอนของกีอู ก็อุ้มหมาขึ้นไปนั่งกอด เหมือนดูวิธีการสอนพอเป็นพิธีเท่านั้น ไม่ได้จริงจังเกี่ยวกับลูกสาวนัก ส่วนมากคนที่สนใจหรือชอบดาฮเยอย่างเห็นได้ชัดจะเป็นคนนอกครอบครัว อย่างมินฮยอกครูสอนพิเศษคนเก่า และ กีอู ที่มินฮยอกแนะนำให้เข้ามาดูแลสอนดาฮเยแทนระหว่างที่ตนไปเรียนเมืองนอก ดาฮเยและกีจูทั้งคู่มีความสัมพันธ์กันมากกว่าศิษย์และครูสอนพิเศษ แอบจู๋จี๋กันลับๆในห้องของดาฮเยโดยที่พ่อแม่ของดาฮเยไม่เคยรับรู้ หรือใส่ใจลูกสาวในเรื่องนี้เลย แสดงให้เห็นถึงความเพิกเฉยของครอบครัวที่มีต่อดาฮเย ทำให้เธอมาหาความรักความสนใจจากครูสอนพิเศษที่เรียกได้ว่าเข้ามาดูแลเธอแทนครอบครัวที่แท้จริงเสียอีก สังเกตได้จาก ฉากที่ ดาฮเย พูดว่า “ดาซงจอมลวงโลก แกล้งทำเป็นศิลปิน” เพียงแค่อยากจะเล่าให้กีอูฟังเฉยๆ เรื่องดาซงเป็นจอมลวงโลก กีอูจึงให้ความสนใจโดยโยงกับการสอนภาษาอังกฤษ กับคำว่า pretend ที่แปลว่า แกล้งทำเป็น คำนี้มีนัยยะที่ชัดเจนว่าครอบครัวคิม แกล้ง ทำเป็นครู แม่บ้าน คนขับรถ มืออาชีพ เพื่อเข้ามาหารายได้จากครอบครัวพัค แต่อีกนัยยะนึง ผู้เขียนตีความว่า คำนี้หมายถึง ดาฮเยแกล้งทำตัวเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวพัค ทั้งๆที่ในความเป็นจริงคนในครอบครัวไม่มีใครใส่ใจ หรือเข้าใจความรู้สึกของเธอเลย เหมือนกับเธอเป็นคนอื่นคนไกลในบ้าน แม้แต่สิ่งที่ดาฮเยชอบ คือ ลูกพีช “หนูอยากกินลูกพีชจัง หนูชอบที่สุดเลย” แต่กินไม่ได้เพราะแม่บ้านแพ้ จึงเป็นผลไม้ต้องห้ามของบ้านหลังนี้ แม้แต่ลูกพีชที่เธอชอบยังถูกระรานออกไปโดยแม่บ้านที่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเธอ จ้างมาเพื่อดูแลเธอ !
พ่อแม่ครอบครัวพัคเอาใจแต่ลูกชาย พาลูกชายไปแคมปิ้งวันเกิด ทั้งๆที่ลูกสาวอยากอยู่บ้านเรียนกับครูเควิน ขณะที่ลูกชายตื่นเต้นกับของเล่นใหม่อย่างวิทยุสื่อสาร ลูกสาวผู้ไม่ค่อยมีตัวตนในบ้าน กลับเซงสุดชีวิต หน้าบูดเป็นตูดเป็ด ตามที่ผู้เป็นพ่อได้สื่อสารกับลูกชาย โดยมีแม่ขึ้นเสียงใส่ว่า “อย่ามางอแงตรงนี้ ไหนๆก็ต้องไป ทำตัวให้สนุกสิ” เนื่องจากครอบครัวจะไปฉลองวันเกิดให้ดาซง ที่สุดแสนจะพิเศษในครอบครัว ไม่ได้ไปตั้งแคมป์ธรรมดา พ่อมีงานยุ่งก็ยังสละเวลามาเพื่อลูกชายหัวแก้วหัวแหวน โดยไม่ได้สนใจความรู้สึกของลูกสาวเลย
รวมถึงใส่ใจแต่รายละเอียดลูกชาย อย่างเช่น สั่งแม่บ้านซุงซุกให้หาเสื้อกันฝนเดินป่าให้ดาซง เพราะ ชอบเดินเล่นกลางฝน ในฉาก เราจะไม่เห็นการใส่ใจในรายละเอียดของลูกสาวๆใดๆ ที่น่าเศร้าใจหากเป็นลูกสาวของบ้านพัค คือ คุณนายแจกแจงรายละเอียดอาหารสุนัขสูตรพิเศษเฉพาะของแต่ละตัว พร้อมกับบรีพชุงซุกที่เพิ่งเข้ามาทำงานเป็นแม่บ้านให้ปล่อยสายจูงยาวๆ เวลาพาจูนีไปเดินเล่น เพราะ ชอบวิ่งพล่านไปทั่วเหมือนลูกชายตัวเองเลย หนึ่งคำก็ลูกชาย สองคำก็ดาซง… แม้แต่สุนัขยังไม่ถูกมองข้ามจากคุณแม่ในบ้านเลยค่ะ ยังไม่พอเมื่อฝนตก แคมป์น้ำท่วมทำให้ต้องกลับบ้านมากะทันหัน ดาซงงอแงไม่อยากกลับ แผนฉลองวันเกิดพัง คุณนายจึงโทรมาสั่งให้แม่บ้านซุงซุกเตรียมจาปากูรี ของโปรดของดาซงไว้เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเอาใจดาซง “หนูก็ชอบจาปากูรี ทำไมไม่ถามหนูบ้าง” ไม่รู้สิ ดาซงไม่กิน แม่เลยถามพ่อก็ไม่กิน เลยกินเองเสียเลย แม่ไม่เข้าใจหนู….ตัวอย่างการกินจาปากูรีนอกจากใช้อาหารจิกกัดความเหลื่อมล้ำของปัญหาชนชั้นทางสังคมแล้ว ว่าดูเหมือนจะเป็นเพียงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่ผสมระหว่างสองยี่ห้อที่สิ้นเปลืองเกินจำเป็นในการทานเพื่อให้ท้องอิ่ม บวกกับการเพิ่มมูลค่าให้สูงลิ่วด้วยเนื้อราคาแพง อย่างเนื้อชั้นดี ยังสร้างความชัดเจนในความเป็นอื่นของลูกสาวในครอบครัวพัคนี้อีกที่สะท้อนถึงความไม่เข้าใจแม้แต่ลูกตัวเอง การมองข้าม มองไม่เห็นลูกสาว ของ พ่อแม่ชนชั้นสูงที่อยู่ใน บับเบิ้ลแห่งความไม่รู้อะไร เป็นความเหลื่อมล้ำทางเพศสภาพที่ร้ายกาจยิ่งนักในครอบครัวชนชั้นสูงครอบครัวนี้
แม้แต่ฉากที่นำไปสู่ ภาพจุดพีคของความเหลื่อมล้ำของเรื่อง คือ คืนวันฝนตกอีกครั้งค่ะ ผู้กำกับแฝงความเป็นอื่นของลูกสาว ที่ถูกเลือกปฏิบัติจากพ่อแม่ไว้อีกด้วย พ่อแม่ต่างสนใจดาซงที่ดื้อด้านอยากจะนอนในเต้นท์กระโจมอินเดียนแดงในสวนหลังบ้าน ตอนที่ฝนกำลังตก พ่อแม่ก็พร้อมที่จะนอนบนโซฟาเพื่อสังเกตความปลอดภัยของลูกชาย ตัดกลับมาที่ ดาฮเย ที่ลงมาถ่ายภาพการกระทำของเด็กที่เป็นสาเหตุให้พ่อแม่ไม่สนใจ เพื่อเล่าให้กีอู บุคคลที่เห็นเธอในสายตาฟังผ่านทางแชท ที่บอกว่าเขาอยู่กับเธอ ตีความได้ตรงเลยว่า กีอูน่ะนอนหลบอยู่ใต้โต๊ะที่เธอนั่งอยู่นะ หรือแฝงความนัยได้ คือเขาอยู่กับเธอ เป็นเพื่อนที่พึ่งทางใจให้เธอได้เสมอ แม้เขาจะกำลังหลบๆ ซ่อนๆอยู่อย่างยากลำบาก นอกจากนี้ พ่อแม่ครอบครัวพัคที่ตามใจให้ดาซง นอนในเต้นท์ กลับเป็นคนเดินเข้ามาไล่ให้ดาฮเยเลิกเล่นมือถือได้แล้ว ขึ้นไปนอนซะ … หากเทียบกับลูกชายและลูกสาว นี่มันสองมาตรฐานชัดเจนมากๆ แม้ครอบครัวนี้จะมีพื้นที่บ้านที่กว้างขวางได้มากสักเท่าไหร่ คนเป็นพ่อเป็นแม่ครอบครัวชั้นสูง อย่าง คุณดงอิก และคุณนายก็มี บับเบิ้ลกันกระแทกแปะอยู่กับตัวเอง ที่ทำให้ไม่รับรู้ถึงความมีอยู่ของความรู้สึก หรือหัวจิตหัวใจของลูกสาวแท้ๆในไส้ของตัวเองเลยค่ะ
แม้กระทั่งฉากท้ายๆของเรื่อง ดาฮเย ตัวละครลูกสาวของเรา ก็ยังคงไม่ได้ไปรวมตัวกับชนชั้นสูงคนอื่นๆ ที่มาร่วมงานฉลองวันเกิดของดาซงผู้เป็นน้องชาย แม้ว่าคุณนายผู้เป็นแม่จะโทรเรียกเพื่อนคนนู้นคนนี้มาร่วมงาน มาร่วมรับประทานอาหารไม่อั้น มาเมากันตั้งแต่หัววัน ลูกสาวของบ้านชนชั้นสูงคนนี้ก็ยังคงไม่มีใครสังเกตเห็น แม้กระทั่งคนในครอบครัว อย่างพ่อแม่ของตนเองที่ยังคงให้ความสำคัญแต่กับดาซงน้องชายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเค้กที่ เรียนเชิญครูเจสซิก้าหรือกีจอง ครูกำมะลอสอนศิลปะบำบัดของดาซง มาทำหน้าที่เทพธิดาเค้กที่เป็นไฮไลท์ของงาน โดยมีพ่อดงอิกคอยกำกับ จัดเตรียมเล่นบทเป็นอินเดียนแดงที่ดาซงชื่นชอบ เพื่อเอาใจลูกชาย ส่วนดาฮเยของเราก็ไม่ได้อยากอยู่ หรือเข้าร่วมกับใครที่ไหน นอกจาก อปป้าเควิน หรือกีอู ครูสอนพิเศษภาษาอังกฤษ ที่ทำให้เธอรู้สึกมีตัวตน และมีความสำคัญ แม้ว่าในตอนที่ดาฮเยไม่อยู่บ้านออกไปแคมปิ้งวันเกิดน้องชาย กีอูก็แอบอ่านไดอารี่ของเธอ โดยบอกว่า เพื่อที่เขาจะได้เข้าใจเธอมากขึ้นกว่าเดิม…. ในขณะที่พ่อแม่ที่แท้จริงของเธอไม่ได้มองออกไปนอก บับเบิ้ล ของพวกเขา มองข้ามได้แม้แต่ลูกสาวในบ้านตัวเองแท้ๆ เป็นบับเบิ้ลกันกระแทกแห่งความไม่รู้อีกขั้นถึงสมาชิกอีกคนในบ้าน ที่แสดงถึงมุมของครอบครัวชนชั้นสูงที่ติดอยู่ในสังคมเพศชายเป็นใหญ่ จะเห็นได้ชัดเจนในฉากสุดท้ายของดลกชนชั้นสูงที่ ทุกคนต่างวิ่งกันไปปคนละทิศละทาง ดาฮเยได้แบกกีอูไว้บนหลัง เหมือนกับทุกคนต่างคว้าสิ่งที่สำคัญที่สุดของตนเองไว้ ในเหตุการณ์สยองฉากนั้น
คนละชั้นกันอย่ามาลามปาม
ประเด็นสุดท้ายของบทความนี้ ที่ผู้เขียนจะมาวิเคราะห์ถึงความไม่รู้อะไรบ้างเลย ของชนชั้นสูงที่อยู่ในบับเบิ้ลกันกระแทกนะคะ จากหัวข้อก็เชื่อมโยงกับโลกบับเบิ้ลกันกระแทกของพวกเขาได้เลยค่ะ ว่ามีเส้นสมมุติแบ่งระหว่างชนชั้นจริงๆ ที่เราจะเห็นได้ชัด คือ ตัวละคร พัค ดงอิก สามีในบ้านชนชั้นสูง กับคีย์เวิร์ดคำว่า “ลามปาม” ในหลายๆฉากที่สนทนาอยู่กับคุณนายผู้เป็นภรรยา ถึงคนงานในบ้านของครอบครัว อย่างแม่บ้าน หรือคนขับรถนะคะ ซึ่งการถือเนื้อถือตัวแบ่งแยกชนชั้น อย่ามาล้ำเส้นฉันนะ ของพวกชนชั้นสูง แฝงถึงความปิดกั้นประตูสู่โลกของชนชั้นล่าง เป็นบับเบิ้ลห่อหุ้มตัวพวกเขาเพื่อกันกระแทกไม่ให้ คนชั้นล่างขึ้นมาเกลือกกลั้วกับโลกของพวกเขา แต่ก็กลับกลายเป็นคมมีดที่กรีดเอาบับเบิ้ลกันกระแทกที่เหมือนจะห่อหุ้ม ชีวิตอันสวยงามของพวกเขาให้ขาดออก นำไปสู่โศกนาฏกรรมในตอนสุดท้ายของโลกชนชั้นสูงค่ะ
จากฉากการพบกันครั้งแรกของหัวหน้าครอบครัวทั้งสองชนชั้น กีแท๊กหัวหน้าจากครอบครัวชนชั้นล่าง หลังจากที่เข้ามาทำงานเป็นคนชับรถให้กับ ครอบครัวพัคได้แล้ว ตั้งแต่วันแรกที่ได้เริ่มลองงานบริการขับรถใน ดงอิก จะเห็นนัยยะที่แสดงธรรมชาติของเขา ว่าเขามาเป็นคนขับรถ พร้อมที่จะเป็นเพื่อนร่วมทางให้กับ หัวหน้าครอบครัว หรือหัวเรือใหญ่ของบริษัท อย่าง พัค ดงอิก หลายๆครั้งในฉากบทสนทนาระหว่างทั้งคู่ เวลาที่ กีแท๊ก คุยกับนายถึงสมาชิกในครอบครัวพัค โดยเฉพาะ ความรักของคุณพัคที่มีให้ต่อภรรยา ดงอิกมักจะตอบแบบ ฝืนๆ หรือเบี่ยงประเด็นไปเรื่องของการจ่ายค่าจ้างกีแท๊กมาทำงาน ซึ่งมุมมองของชนต่างชั้นนี้มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ชนชั้นล่างอย่างครอบครัวคิมจะมีการพยายามทำความเข้าใจ และเข้าถึงอีกฝ่าย เพื่อความสัมพันธ์อันดี ในทางตรงกันข้าม ดงอิก หัวหน้าครอบครัวพัค จะขีดเส้นไว้ชัดเจนถึงตำแหน่งชนชั้น หน้าที่ระหว่างนายและบ่าว ว่าไม่รับคอนเซปเพื่อนเดินทางนะ ห้ามลามปามเข้ามาในบับเบิ้ลโลกส่วนตัวของชนชั้นสูงของเขา
โดยก่อนหน้าที่ครอบครัวคิม จะจ้างให้ กีแท๊ก ผู้เป็นพ่อเข้ามาทำงานขับรถในบ้านนี้ กีจองลูกสาวชนชั้นล่างได้ใช้วิธีวางยาบนเบาะหลังรถเบนซ์ของดงอิก ในตอนที่พวกเขาสั่งให้คนขับรถหนุ่มคนเก่าไปส่งเธอหลังจากสอนพิเศษดาซงเสร็จให้ถึงที่ โดยกีจองได้แอบถอดกางเกงในไว้ที่เบาะหลังรถ เพื่อกำจัดคนขับรถแล้วเปิดทางให้กีแท๊กผู้เป็นพ่อเข้ามารับงานนี้แทน ผ่านการแนะนำของเธอเอง จนกระทั่งดงอิกเป็นผู้เจอกางเกงในราคาถูกที่หลังรถด้วยตัวของเขาเอง โดยที่ตัวเขาและคุณนายไม่ได้รู้อะไรบ้างเลยว่า จริงๆแล้วคุณครูสอนศิลปะบำบัดของลูกชาย เป็นคนถอดกางเกงในตัวในไว้เอง เพื่อป้ายความผิดให้คนขับ ในฉากบทสนทนาระหว่าง ดงอิกและคุณนาย เราก็จะเห็นคอนเซปในคุณพัค ว่า ผมไม่สนว่าคนหนุ่มอย่างเขาจะใช้ชีวิตอย่างไร จะ นอนกับใคร แต่ยัง ลามปาม มาทำบนเบาะที่ผมนั่ง
แม้ว่าทั้งคู่จะด่วนตัดสินใจว่าคนขับรถได้แอบพาผู้หญิงมานอนเล่นที่หลังเบาะรถเบนซ์ เนื่องจากมีหลักฐานเป็นกางเกงในราคาถูกตกอยู่ที่ด้านหลัง คุณพัคได้ใช้เซลล์สมองไตร่ตรองอยู่บ้าง ด้วยชุดข้อมูลของโลกที่จริงๆแล้วเขาก็ไม่ได้รู้อะไรมากมายนักหรอก เกี่ยวกับผู้หญิงที่คนขับรถหนุ่มพามาคนนั้นว่าอาจจะโดนวางยา ด้วยโคเคนหรือเปล่า ทำให้ไม่มีสติ เพราะจริงๆแล้ว หลักฐานที่เจอมักจะเป็นเส้นผม หรือต่างหูชิ้นเล็กๆ กางเกงในเห็นได้ชัดไม่น่าจะพลาด ทิ้งหลักฐานไว้ แสดงให้เห็นถึงอคติทางชนชั้นกับคนขับรถหนักเข้าไปอีก ไม่ว่าจะเป็นใช้ยาเสพติดให้ผู้หญิงไม่รู้สึกตัว มีรสนิยมทางเพศที่วิปริต… โถ่วทั้งๆที่จริงๆแล้วคนขับรถหนุ่มที่แสนสุภาพ ทำตามหน้าที่ บวกกับมีความเท่อยู่บ้าง เป็นคนโดนวางยาป้ายสีโดยครูเจสซิก้า ครูศิลปะบำบัดกำมะลอต่างหากล่ะ
นอกจากการถือเนื้อถือตัวถึงความเป็นเจ้านายแล้ว คุณพัคยังให้ไล่คนขับรถออก โดยใช้เหตุผลอ้อมๆ ซึ่งในเรื่องไม่ได้กล่าวว่า เหตุผลอะไรในภาพยนตร์ เนื่องจากไม่อยากให้สมาชิกในครอบครัวลดตัวไปยุ่งกับเรื่องพรรค์นั้น เหมือนเป็นการพยายามสร้างโลก บับเบิ้ลกันกระแทกห่อหุ้มครอบครัวอันสวยงามไว้ สังเกตได้จาก ที่สามีกระซิบกับภรรยาเรื่องที่เขาตั้งสมติฐานคนขับรถเกี่ยวพันกับยาเสพติด เพื่อไม่ให้ลูกๆได้ยิน หรือที่คุณนายไม่ยอมบอก ครูเจสซิกา หรือกีจองถึงเหตุผลว่า ทำไมถึงให้คนขับรถหนุ่มออก แถมยังสอนครูเจสซิก้าไปอี๊กคุณนาย ว่าอ่อนต่อโลก อย่าเชื่อใครง่ายๆนะ 55555555555 ใครกันแน่น๊า dramatic irony ที่พบเห็นได้มากมายในบทที่ผู้กำกับนำออกมาใช้เสียดชนชั้นสูง ผู้ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย และอาศัยอยู่ในโลกบับเบิ้ลกันกระแทกได้อย่างน่าขันในความอ่อนต่อโลกเลยล่ะค่ะ
อีกจุดที่ผู้เขียนมองเห็นการเสียดสีสังคมชนชั้นสูงที่ถือเนื้อถือตัว ไม่ให้ลดตัวลงไปยุ่งกับสิ่งที่ตัวเองคิดว่าไม่ดี มีแค่ชนชั้นล่างเท่านั้นที่น่าจะทำ อย่างฉากคู่สามีภรรยาพัคบนโซฟาในคืนฝนตก อันสำคัญของเรื่องเพราะ นอกจากแสดงความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นได้ดีมากแล้ว ยังนำไปสู่จุดพีคของเรื่องที่แสดงถึงการประท้วงทางชนชั้นในตอนท้ายของเรื่องอีก สิ่งที่เสียดสีของฉากเซ็กส์บนโซฟานี้ คือ ชนชั้นสูงก็เป็นมนุษย์ มีสัญชาตญาณความต้องการของมนุษย์ มีรสนิยมความชอบเป็นของตัวเอง ไม่ต่างไปจากชนชั้นล่างสักเท่าไหร่ อย่างที่คู่สามีภรรยาพัค เคยวิจารณ์ถึงรสนิยมทำบนรถของคนขับรถหนุ่มคนเก่าไว้ แต่ฉากนี้ตัวละครของ พัค ดงอิก เอง กลับเป็นคนพูดว่า โซฟาให้ความรู้สึกเหมือนหลังรถเลย กางเกงในราคาถูกตัวนั้นคงทำให้ผมเกิดอารมณ์นะ บวกกับภรรยาร้องขอให้สามีซื้อยาให้ตัวเองเล่น…. ซึ่งเป็นจุดชัดเจนที่ว่า ชนชั้นบนกับชนชั้นล่างก็มีความต้องการในชีวิตไม่ได้แตกต่างกัน เป็นมนุษปุถุชนเหมือนกัน แม้ว่า ดงอิก จะพูดไว้ก่อนก็เหอะว่า อย่าลดตัวลงมายุ่งกับเรื่องพรรค์นั้น ในบทสนทนาตอนต้นของเรื่อง แถมยังไปลามปามตัดสินคนขับรถหนุ่มลับหลังเรื่อง รสนิยมวิตถาร และเรื่องยาเสพติด ในฉากนี้เราก็เห็นเขาพูดออกมาจาก ความต้องการ ความคิดของตัวเองทั้งนั้น แสดงในเห็นถึงบับเบิ้ลกันกระแทกทางความคิดของชนชั้นสูงอันถูกปิดกั้น ว่าที่จริงแล้วเป็นแค่ การพยายามยกตัวเองให้สูง แต่ไม่ได้รู้จักแม้แต่ความต้องการของจิตสำนึกตัวเองเลย
ชนชั้นล่างไม่ให้ล้ำเส้นมาเลยนะ… จากการวิเคราะห์รายละเอียดของผู้เขียน จะเห็นได้ว่าจริงๆแล้ว ชนชั้นสูงเสียเองน่ะที่เป็นฝ่ายลามปามล้ำเส้นชนชั้นล่าง เช่น ดงอิกที่เคยพูดถึง มุนกวัง แม่บ้านคนเก่า ชอบทานอาหารฝีมือเธอ เป็นแม่บ้านที่ดีมากเลย และไม่เคยลามปาม ซึ่งไม่เคยลามปามจริงๆ เห็นได้ชัดในภาพยนตร์ คือ ฉากที่มุนกวัง ปลุกคนนายที่หลับลึกอยู่ในสวน เมื่อเรียกไม่ตื่นจึงปรบมือปลุก แม้ว่าดงอิกจะบอกว่ามุนกวังไม่เคยลามปามเลย แต่ดงอิกเองกลับลามปาม เมาท์ว่ามุมกวังกินอาหารเป็น 2 เท่า ของคนทั่วไป เนื่องมาจากเธอก็ทำงานหนักอ่ะนะในกีแท๊กฟัง และลามปามเมาท์กีแท๊ก เรื่องกลิ่นสาป ที่ลามมาถึงเบาะหลัง กลิ่นเหมือนกับหัวไช้เท้าแก่ๆ หรือเหมือนผ้าขี้ริ้วต้ม หรือกลิ่นที่จะได้กลิ่นบนรถไฟใต้ดิน ให้ภรรยาฟัง เป็นนัยยะของการเหยียมหยามทางชนชั้น ถึงกลิ่นสาปคนจน ซึ่งกีแท๊กเผอิญได้ยินจึงเกิดเป็นความแค้น อัดอั้น จากความเหลื่อมล้ำไม่พอ ยังถูกดูหมิ่นเหยียดหยามอีก ประเด็นเรื่องกลิ่นในภาพยนตร์นี้จะค่อนข้างแบ่งชัดเจนในเรื่องของชนชั้น อย่างตอนที่ครอบครัวไล่แม่บ้านคนเก่าออก ดงอิกบ่นว่า ภรรยาทำงานบ้านไม่เป็นทำให้เสื้อผ้าผมเหม็นอับๆ เป็นนัยยะอีกว่า การอำนวยความสะดวกของชนชั้นล่างก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ชนชั้นบนประสบความสำเร็จได้ เป็นบับเบิ้ลกันกระแทกอีกเลเยอร์ให้คนชั้นบนไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างลำบาก สามารถไปทำงานหาเงินทองเข้าบ้าน หรือใช้ชีวิตสบายๆอย่างมีอิสรภาพทางการเงินได้เลยจ้า
รวมไปถึงกิจกรรมต่างๆที่ครอบครัวชนชั้นสูงทำ แล้วยังต้องลามปามเวลาของครอบชนชั้นล่างมาช่วย อย่างงานวันเกิดของดาซง ที่จัดขึ้นในสวน โดยที่พวกเขาอยู่ในบับเบิ้ลกันกระแทก ที่ไม่รู้เลยว่าครอบครัวคิมเพิ่งผ่านคืนฝนตกอันทรหดมา แล้วยังโดนเรียกไปร่วมงานฉลองวันเกิดแก้อันฉุกละหุก ชดเชยที่น้ำท่วมแคมป์ในวันนั้น ให้ดาซงอีก จากตัวอย่างความที่แตกต่างที่เห็นได้ชัด ของการไม่รู้ประสาของชนชั้นสูง อย่างคุณนายที่กล่าวว่า ขอบคุณฝนที่ทำให้อากาศสดใส และสะอาดในวันนี้ ที่จะมีงานฉลองวันเกิดให้ดาซง โดยมีคนขับรถคิมที่ไปช่วยเธอขนของจากซูเปอร์มาร์เก็ต ขับรถให้เธอหน้าตาอมทุกข์อิดโรยอยู่หลังพวงมาลัย แถมกลิ่นเสื้อผ้าอับๆที่เขาคุ้ยมาจากกองเสื้อผ้าบริจาคในโรงยิม ก็ดันลามปามไปเตะจมูกของคุณนายที่นั่งเหยียดเท้าอย่างเต็มที่ที่เบาะหลังเสียนี่ รวมถึงการโทรเรียก ครูเจสซิก้าไปช่วยเป็นเทพธิดาเค้ก ไฮไลท์ในงานวันเกิดดาซง หรือ กีแท๊กที่นอกจากจะโดนคุณนายใช้ให้ไปซูเปอร์มาร์เก็ตด้วยแล้ว ยังต้องมารับบทเล่นเป็นอินเดียนแดงให้ดงอิก ฉากนี้กีแท๊กยังคงถามคำถามเดิมที่ดงอิก จัดว่าหวิดจะลามปาม เรื่องที่ดงอิกคงรักภรรยามาก แต่ดงอิกเองก็เบี่ยงประเด็นไปเรื่องของการจ่ายค่าแรงพิเศษให้คนงานอย่างนายคิมเสียนี่ ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย เรียกเขามาแต่งตัวน่าอับอาย เพื่อเอาใจลูกชายตัวเองก็ลามปามเขาอยู่เหมือนกัน แม้ว่าจะควักเงินจ่ายเป็นค่าจ้างก็เถิด
ซึ่งฉากงานวันเกิดของดาซงในสวนหลังบ้านเนี่ยแหล่ะ ที่เป้นฉากจุดพีคของภาพยนตร์ ที่พาเรามาสู่จุดจบแห่งโศกนาฎกรรมของชนชั้นสูงจาก ความที่ผ่านมาพวกเขาไม่รู้อะไร ติดอยู่ในบับเบิ้ลกันกระแทกห่อหุ้มโลกของเขาไว้ จนในที่สุดก็ถูกกรีด ดึง แกะ ออก ด้วยความ ignorance ของพวกเขาเอง ไม่ว่าจะมาจากทัศนคติแบ่งแยก ดูหมิ่นคนชั้นล่าง หรือการเป็นผู้เปิดทางให้ความวุ่นวายเข้ามาเอง ในฉากนี้ มีการนำเสนอหัวหน้าครอบครัวของทั้ง ชนชั้นสูงและชนชั้นล่าง อย่าง พัค ดงอิก และ คิม กีแท๊ก ในคอสตูมของอินเดียนแดง แม้ว่าอันที่จริงแล้ว เราจะเห็นสัญลักษณ์อินเดียนแดงมาตั้งแต่ต้นเรื่องผ่านตัวละครนังเด็กศูนย์กลางแห่งจักวาลดาซง ในหลายๆฉากของภาพยนตร์ ผู้เขียนวิเคราะห์ว่า นอกจากเสียดสีประเทศเผด็จการอย่างเกาหลีเหนือ ที่ผู้เขียนนำเสนอไปในประเด็นตอนต้นของบทความ ผู้กำกับก็แอบแซะประเทศฝั่งประชาธิปไตยมหาอำนาจอย่างอเมริกา ที่มีชนพื้นเมืองอินเดียนแดง มาตั้งรกรากอยู่ในทวีปอเมริกา และถูกรุกรานโดยชาวยุโรปสมัยล่าอาณานิคม เปรียบเสมือนดั่ง โฮสต์ และ ปรสิต อินเดียนแดง อาศัยอยู่ในอเมริกามาแล้วหลายช่วงคน การล่าอาณานิคม ขยายดินแดนของคนขาวได้ ลามปาม ทำลายอารยธรรม อิสรภาพของอินเดียนแดง แม้ว่าในตอนแรก ชนพื้นเมืองเหล่านี้จะให้การต้อนรับผู้อพยพผิวขาว หรือสอนให้รู้จักการดำรงชีวิตในดินแดนแห่งใหม่ก็ตาม
อินเดียนแดงมีความเชื่ออยู่ว่า มนุษย์เป็นสมบัติของโลก เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ทุกสิ่งมีการเชื่อมต่อกัน ทุกสรรพสิ่งบนโลกเปรียบดั่งครอบครัว เพราะฉะนั้นควรให้เกียรติซึ่งกันและกัน หากใครฝ่าฝืนกฎธรรมชาตินี้ ทำลายและไม่ให้เกียรติกัน ย่อมถูกธรรมชาติลงโทษในที่สุด ผู้เขียนเชื่อมโยงไปถึงฉากตอนไคล์แมกของภาพยนตร์ ฉากของหัวหน้าครอบครัวทั้งสองฝั่ง ต่างกันที่ชนชั้น แต่ใส่สัญลักษณ์ที่อยู่ฝ่ายเดียวกัน อย่างอินเดียนแดงเนี่ยแหล่ะค่ะ ดงอิกผู้เป็นชนชั้นสูง แสดงการดูหมิ่นไม่ให้เกียรติเพื่อนมนุษย์ ด้วยการมองข้ามเพื่อนมนุษย์ที่ต่างชนชั้นอย่างผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส อย่างกึนเซ ที่ปรากฏตัวออกมาจากชั้นใต้ดินอันแร้นแค้น และกีจองลูกสาวครอบครัวชนชั้นล่าง ที่เคยสอนศิลปะบำบัดดาซง ผู้กำลังเสียเลือดหนักมาก แต่ดงอิกเลือกที่จะเหลียวแลเฉพาะดาซงลูกชาย ผู้เป็นลมล้มพับไป เมื่อเห็นกึนเซ ดงอิกจึงถูกลงทัณฑ์ โดยกีแท๊กที่มีความอัดอั้นอยู่เต็มอก จากความเป็นอยู่ที่ต้องตะเกียกตะกายมาให้ได้มาซึ่งค่าดำรงชีพ คอยอำนวยความสะดวกรับใช้ครอบครัวพัค รวมถึงบังเอิญไปได้ยิน ดงอิกนินทาตน เกี่ยวกับกลิ่นสาบจากการใช้น้ำยาซักผ้าราคาถูก การตากผ้าในพื้นที่แดดไม่ถึง กลิ่นอับของบ้านใต้ถุน ที่ลามปามไปถึงเบาะหลังรถเบนซ์ รวมไปถึงขีดเส้นชนชั้นอย่างการชวนคุยของกีแท๊กว่าเป็นการลามปามเจ้านาย จากฉากที่พ่อแม่ชนชั้นสูงได้นอนระเริงรักอยู่บนโซฟานุ่มๆ คอยสอดส่องดูแลลูกชายจอมซนที่ไม่ยอมเข้ามานอนในบ้าน เพราะอยากนอนในเต้นท์ของเล่นกันน้ำฝนคุณภาพอย่างดีกันน้ำสั่งซื้อมาจากอเมริกา ในขณะที่ครอบครัวชนชั้นล่าง มี พ่อ ลูกชาย และลูกสาว นอนคุดคู้แอบซ่อนอยู่ใต้โต๊ะ หลังจากที่ต้องต่อสู้กับชนชั้นล่างด้วยกัน อย่าง มึนกวัน อดีตแม่บ้าน และกึนเซ ครอบครัวชนชั้นสูงไม่ได้มารับรู้อะไรเลย ถึงความยกลำบากนี้ เพราะโลกของพวกเขาถูกห่ออยู่ในบับเบิ้ลกันกระแทก ส่งผลให้กีแท๊กหยิบมีดขึ้นแทงดงอิกในตอนนั้น เป็นฉากที่ทำให้เห็นว่า บับเบิ้ลกันกระแทกของชนชั้นสูงวันหนึ่งก็ถูกกรีดออกได้ จากความที่พวกเขาเองไม่เคยรับรู้ ไม่เคยทันอะไรเลย
เขียนดีมากเลย
ขอบคุณค่า ภาพยนตร์ควรค่ารางวัลหลายสาขาเลยนะคะ ในเนื้อหาสอดแทรกอะไรไว้เยอะมากเลยค่ะ
เพิ่งดูหนังจบและได้มาอ่านบทวิเคราะห์นีี้ค่ะ เขียนได้ดีมากๆ เลย อ่านแล้วมีบางฉากที่เรามองไม่เห็นก็กระจ่างขึ้นเพราะบทตวามนี้เลยค่ะ
ตอนที่ดูหนังก็พลาดรายละเอียดหลายๆอย่าง แต่หลังจากที่อ่านบทความนี้ก็เข้าใจสิ่งที่ผู้จัดทำหนังสื่อออกมาเลยค่ะ อย่างตัวละครของดาฮเยนี่ก็คิดว่าน่าจะไม่มีอะไร พอมาอ่านเท่านั้นแหละ เข้าใจตัวละครมากขึ้นเยอะเลย ผู้เขียนเขียนออกมาดีมากๆ ไม่เสียดายที่ได้อ่านค่ะ