บทความนี้จะมาเล่าประสบการณ์การใช้จ่ายแบบ cashless ในญี่ปุ่นตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ว่าเท่าที่สัมผัสมามีความเปลี่ยนแปลงยังไงบ้าง
ประเทศญี่ปุ่นในสายตาคนที่ไม่ได้มาใช้ชีวิตจริงๆจะมองว่าเป็นประเทศที่น่าจะไฮเทคมากๆ ใช้ชีวิตร่วมกับเทคโนโลยีโดยเฉพาะระบบขนส่งมวลชนที่เทียบกับบ้านเราแล้วก็ต้องยอมรับว่าของเค้าดีมากจริงๆ แต่ในขณะเดียวกันเทคโนโลยีในด้านการเงินเหมือนกำลังเพิ่งโต (พอ cashless เริ่มบูมก็มีข่าวระบบธนาคารโดน hack หรือโอนเงินแบบไม่ถูกต้องหลายเคสมาก คือระบบ internet banking ยังไม่ค่อยปลอดภัยค่ะ พูดตามตรง 😓)
ปีที่เพิ่งย้ายมาอยู่ 2019 ญี่ปุ่นกำลังพยายามผลักดันการใช้จ่ายผ่านระบบแทนการใช้เงินสดมากขึ้น ในยุคลุงอาเบะเริ่มจากถ้าใช้จ่ายผ่านระบบ cashless ได้เงินคืน 2-5% (มีระยะเวลาประมาณ 6-8 เดือน ถ้าจำไม่ผิด) แล้วหลังจากนั้นก็มาผลักดันให้คนออกมาทำบัตรที่เรียกว่า my number (หรือจะเรียกว่าบัตรประชาชนญี่ปุ่นก็พอได้) เพื่อที่จะให้ทุกอย่างเป็น digital มากขึ้น สามารถใช้เป็นบัตรแสดงตัวตนและสามารถใช้ยืนยันตัวตนทำธุรกรรมผ่านอินเตอร์เน็ตได้ (ใช้มือถือที่มี NFC + digital passcode) โดยที่ถ้ามาสมัครบัตรภายในระยะเวลาที่กำหนด แล้วผูกบัตร my number เข้ากับระบบจ่ายเงินแบบ cashless (ex. Credit card, xxPay) ก็จะได้เงินคืนมากสุด ¥5,000 (ยอดค่าใช้จ่าย ¥20,000) คนก็เลยแห่ออกมาทำบัตร my number (รอบัตรไป 2 เดือน 😂😂😂) และยังต้องฝึกใช้ระบบ cashless กันมากขึ้นด้วย ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องไม่ยากนักสำหรับคนรุ่น 20s-40s แต่สำหรับ 60 up แล้ว การใช้เงินสดก็ยังเป็นเรื่องง่ายกว่ามาก ฉะนั้นก็จะยังเห็นผู้สูงอายุ(ซึ่งเป็นประชากรจำนวนมากของญี่ปุ่นยังใช้เงินสดกันอยู่ แต่แน่นอนว่าหลังจากโควิดมา 1 ปีกว่าๆ หลายร้านที่รับเงินสดเป็นหลักติดเครื่องรับเงินสดและทอนอัตโนมัติเยอะขึ้นมาก เพื่อลดการสัมผัสด้วยค่ะ อาทิ ร้านขายผักแถวบ้าน ไฮโซมาก แถมรับ xxPay ด้วยนะคะ แต่ไม่รับบัตรเครดิต)
และจากการที่ระบบ cashless เริ่มใช้งานกันมากขึ้น ก็ทำให้สถาบันการเงินและบริษัทที่ให้บริการ xxPay ปรับเปลี่ยนระบบและ benefit อยู่เรื่อยๆ ลดบ้างเพิ่มบ้างแล้วแต่แคมเปญและความฮิต อย่าง LinePay ก็ benefit ลดลงถ้าเทียบกับปี 2019 ซึ่งตอนนี้พยายามจะผลักดันให้ใช้ Line Credit card ด้วย ส่วน PayPay ที่ตอนนี้จับมือกับ LinePay แล้วก็แคมเปญมาตลอดไม่หยุดเลยจริงๆ (ยังมีพวก d払い Edy และอีกมากมายยยยยยยย) ลองเข้าไปจ่ายเงินร้านสะดวกซื้อดูค่ะ เดี๋ยวนี้ให้กดหน้าจอเลือกวิธีจ่ายเงินเองแล้ว ตาลายกันไปเลย 😅
ถ้าพูดถึงสถาบันการเงิน หลักๆคือธนาคารและส่วนที่ให้บริการบัตรเครดิต ตอนนี้ธนาคารในญี่ปุ่นลดสาขาและจำนวนตู้ ATM ลงเยอะมาก (กดเงินที่ตู้ ATM ญี่ปุ่น ถ้านอกเวลาทำการ ต่อให้กดจากตู้ธนาคารเจ้าของบัญชีก็เสียค่าธรรมเนียมนะคะงืวววว) และหลายธนาคารเริ่มไม่ออกสมุดบัญชีให้กับลูกค้าที่อายุต่ำกว่า 60 ปีแล้ว เพราะทุกอย่างสามารถเช็คผ่านอินเตอร์เน็ตหรือ app ในมือถือได้ นอกจากนี้บางธนาคารก็เริ่มออกบัตรเครดิตที่ไม่มีรายละเอียดของเลขบัตรเครดิตวันหมดอายุ และ CVV ระบุไว้บนบัตร ให้เจ้าของบัตรเปิดเช็คเองในแอปของบัตรเครดิต ข้อดีคือไม่ต้องกลัวว่าจะมีคนเอาข้อมูลบนหน้าบัตรเครดิตไปใช้ได้ (บัตรเครดิตที่ใช้อยู่เพิ่งส่งเอกสารมาเชิญชวนให้เปลี่ยนบัตร พร้อมเว้นค่าธรรมเนียมรายปีตลอดชีพให้พร้อมอัพเกรดสิทธิประโยชน์ต่างๆให้ด้วย ตอนแรกก็ขึ้นเปลี่ยนเพราะต้องไปยื่นเรื่องตัดบัตรเครดิตใหม่อีก)
นอกจากธนาคารและบัตรเครดิตแล้วก็จะมีระบบ xxPay ที่เข้าถึงร้านค้าเล็กๆ ที่เป็น local ได้ง่ายกว่าระบบบัตรเครดิตที่ต้องเช่าเครื่องมาทำธุรกรรม เพราะ xxPay ใช้การสแกน QR Code เพื่อทำธุรกรรม และระบบค่อนข้างใช้ง่าย บางบริการสามารถตัดบัตรเครดิตโดยตรงเลยก็ได้ ทำให้ปัจจุบันนี้เรียกได้ว่า 90-95% คือสามารถพกแค่มือถือไปแล้วก็ใช้จ่ายได้เลย จะยังมีร้านเล็กๆที่รับแต่เงินสดอยู่บ้างแต่ไม่ก็น้อยมากแล้ว
ปัจจุบันนี้เพียงแค่ในมือถือมี wallet บัตรเครดิต, IC card และ xxPay (ผูกบัตรเครดิต/บัญชี) ก็แทบจะไม่ต้องพกเงินสดแล้วค่ะ